พม.เล็งตั้งกลุ่มคณะทำงานด้าน CSR หวังขยายความช่วยเหลือออกสู่สังคม แนะรัฐจับมือภาคธุรกิจ เชื่อหากมีการทำงานร่วมกันปัญหาลดลงได้
วันนี้ (7 พ.ย.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น นางปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานการประชาพิจารณ์ร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคม (CSR) ว่า ภาคธุรกิจถือว่าเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาสังคมและช่วยเหลือภาครัฐ ตนเชื่อว่าหากได้รับความร่วมมือกับภาคธุรกิจปัญหาสังคมจะดีขึ้น อย่างที่ตนเคยบอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข ดังนั้นภาคธุรกิจและภาครัฐจึงต้องเชื่อมโยงกันเพื่อพัฒนาสังคม อย่างไรก็ตามในส่วนของรัฐบาลเองก็จะต้องเอื้อประโยชน์ให้กับภาคธุรกิจที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคม รวมทั้งต้องมีการปรับตัวเข้าหากันเพื่อให้ภาคธุรกิจทราบว่าสังคมปัจจุบันมีปัญหามากน้อยเพียงใด ซึ่งก็จะเป็นข้อมูลอีกด้านที่ภาคธุรกิจจะนำไปเรียงลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ภาครัฐต้องดูว่าสามารถช่วยภาคธุรกิจได้อย่างไรบ้าง ตนเชื่อว่าหากมีการทำงานร่วมกันจะทำให้ปัญหาต่างๆ ลดลงไปได้
นางปวีณา กล่าวต่อว่า ในอนาคต พม.จะมีการจัดตั้งองค์กรCSR ขึ้นมาภายในกระทรวงซึ่งในอดีตเคยมีมาแล้วแต่ยังไม่เป็นรูปธรรมมากพอ ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนทำให้เป็นรูปร่างมากยิ่งขึ้น โดยในวันที่ 14 พ.ย.นี้ ตนจะเชิญกลุ่มทำงานด้าน CSR เข้ามาประชุมหารือว่าในปัจจุบันสังคมเกิดปัญหาอะไรบ้าง และทาง พม.ก็จะต้องทราบว่าภาคธุรกิจจะทำอะไรเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคม ทั้งนี้การที่จะตั้งองค์กรดังกล่าวขึ้นมานั้นจะทำให้ระบบการทำงานสามารถขับเคลื่อนและขยายตัวได้ เนื่องจากว่าภาคธุรกิจมีเครือข่ายทั้งในและนอกประเทศ ดังนั้นตนจึงต้องการที่จะเห็นความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเพื่อที่การช่วยเหลือต่างๆ จะเป็นรูปธรรมมากขึ้น
วันนี้ (7 พ.ย.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น นางปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานการประชาพิจารณ์ร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคม (CSR) ว่า ภาคธุรกิจถือว่าเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาสังคมและช่วยเหลือภาครัฐ ตนเชื่อว่าหากได้รับความร่วมมือกับภาคธุรกิจปัญหาสังคมจะดีขึ้น อย่างที่ตนเคยบอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข ดังนั้นภาคธุรกิจและภาครัฐจึงต้องเชื่อมโยงกันเพื่อพัฒนาสังคม อย่างไรก็ตามในส่วนของรัฐบาลเองก็จะต้องเอื้อประโยชน์ให้กับภาคธุรกิจที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคม รวมทั้งต้องมีการปรับตัวเข้าหากันเพื่อให้ภาคธุรกิจทราบว่าสังคมปัจจุบันมีปัญหามากน้อยเพียงใด ซึ่งก็จะเป็นข้อมูลอีกด้านที่ภาคธุรกิจจะนำไปเรียงลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ภาครัฐต้องดูว่าสามารถช่วยภาคธุรกิจได้อย่างไรบ้าง ตนเชื่อว่าหากมีการทำงานร่วมกันจะทำให้ปัญหาต่างๆ ลดลงไปได้
นางปวีณา กล่าวต่อว่า ในอนาคต พม.จะมีการจัดตั้งองค์กรCSR ขึ้นมาภายในกระทรวงซึ่งในอดีตเคยมีมาแล้วแต่ยังไม่เป็นรูปธรรมมากพอ ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนทำให้เป็นรูปร่างมากยิ่งขึ้น โดยในวันที่ 14 พ.ย.นี้ ตนจะเชิญกลุ่มทำงานด้าน CSR เข้ามาประชุมหารือว่าในปัจจุบันสังคมเกิดปัญหาอะไรบ้าง และทาง พม.ก็จะต้องทราบว่าภาคธุรกิจจะทำอะไรเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคม ทั้งนี้การที่จะตั้งองค์กรดังกล่าวขึ้นมานั้นจะทำให้ระบบการทำงานสามารถขับเคลื่อนและขยายตัวได้ เนื่องจากว่าภาคธุรกิจมีเครือข่ายทั้งในและนอกประเทศ ดังนั้นตนจึงต้องการที่จะเห็นความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเพื่อที่การช่วยเหลือต่างๆ จะเป็นรูปธรรมมากขึ้น
