สธ.เผยสถานการณ์ไข้เลือดออกรุนแรงปีนี้รุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี ป่วยแล้ว 1.35 แสนราย ตาย 126 ราย เผยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมวิชาการหวังแต่ละประเทศร่วมแชร์มาตรการควบคุมโรค สกัดการแพร่ระบาด
วันนี้ (21 ต.ค.) ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนสปาร์ค กทม. นพ.วิชัย เทียนถาวร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวภายหลังเปิดประชุมไข้เลือดออกนานาชาติครั้งที่ 3 “ไข้เลือดออกเดงกี่โลก : ความท้าทายและพันธสัญญาร่วมกัน” ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 21-23 ต.ค. 2556 ว่า องค์การอนามัยโลกระบุว่าโรคไข้เลือดออกเป็น 1 ใน 40 โรคที่หวนกลับมาแพร่ระบาดใหม่ กำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขในกว่า 100 ประเทศ มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกปีละกว่า 50-100 ล้านคน กว่าครึ่งต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ในจำนวนนี้เสียชีวิตปีละกว่า 25,000 ราย และมีประชากรเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกปีละประมาณ 2,500 ล้านคน โดยพบว่าเชื้อโรคไข้เลือดออกมีการพัฒนาตัว และระบาดไปยังพื้นที่ใหม่ๆ รวมทั้งเกิดในประเทศในแถบหนาวด้วย
นพ.วิชัย กล่าวอีกว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคประจำถิ่นที่มีความรุนแรงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี มี 4 สายพันธุ์ การติดเชื้อชนิดนี้สายพันธุ์หนึ่ง จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นตลอดไป แต่จะสามารถป้องกันข้ามไปยังสายพันธุ์อื่นได้เพียงชั่วคราว โรคนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และไม่มียารักษาโดยเฉพาะ จึงทำให้มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตทุกปี ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ปัญหาหลักที่ทั่วโลกเผชิญคือเข้าถึงการรักษาล่าช้า
“องค์การอนามัยโลกจัดทำแผนยุทธศาสตร์ป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ระหว่าง พ.ศ. 2551-2558 เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 70 ของผู้ติดเชื้อทั่วโลก เพื่อลดการเสียชีวิตให้ต่ำกว่าร้อยละ 1 และลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงต่อปี ร้อยละ 20 เพิ่มความร่วมมือการควบคุมป้องกันโรคที่รวดเร็ว แลกเปลี่ยนความรู้ใหม่ๆที่นักวิจัยได้คิดค้นขึ้น แต่ละประเทศมีแผนป้องกันโรคภายในประเทศและป้องกันแพร่ระบาดไปประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้ดำเนินการรณรงค์ป้องกันควบคุมโรคอย่างเต็มที่จนจำนวนผู้ป่วยใหม่รายสัปดาห์มีอัตราลดลงอย่างต่อเนื่อง” นพ.วิชัย กล่าว
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า การจัดประชุมในครั้งนี้ เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ ได้นำความรู้ และประสบการณ์ในการดำเนินงานป้องกันควบคุมไข้เลือดออกที่มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์มานำเสนอ พัฒนามาตรการป้องกันควบคุมโรค รวมทั้งก่อให้เกิดความร่วมมือในสาขาต่างๆ นำไปสู่การลดปัญหาไข้เลือดออก สำหรับสถานการณ์ไข้เลือดออกในไทยปีนี้ ถือว่ารุนแรงในรอบ 20 ปี โดยข้อมูลตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 15 ต.ค. มีผู้ป่วยแล้ว 135,344 ราย เสียชีวิต 126 ราย มาตรการที่ไทยใช้ยับยั้งการระบาด ได้แก่ การตั้งศูนย์ปฏิบัติการทุกจังหวัดและทุกอำเภอ มีการส่งทีมควบคุมโรคไข้เลือดออกให้ครอบคลุมและทันเวลา และรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมามีรายงานผู้ป่วยสัปดาห์ละ 8,000 ราย ขณะนี้มีรายงานไม่ถึงสัปดาห์ละ 2,000 ราย คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่จะต้องดำเนินการต่อเนื่อง โดยเฉพาะการควบคุมยุงลาย
ด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ประธานคณะกรรมการวิทยาศาสตร์การจัดประชุมไข้เลือดออกนานาชาติฝ่ายไทย กล่าวว่า การจัดประชุมวิชาการปีนี้ มีการบรรยายองค์ความรู้ใหม่ๆในการพิชิตโรคไข้เลือดออก 6 เรื่อง ได้แก่ 1.วัคซีนไข้เลือดออก 2.กลไกของสารต่อต้านไวรัสโรคไข้เลือดออก ที่จะนำมาต่อยอดเป็นองค์ความรู้ในการผลิตยาต้านไวรัสไข้เลือดออก 3.เทคโนโลยีใหม่ในการตรวจวินิจฉัยโรค ให้รู้เร็ว และสามารถใช้คาดการณ์ระดับความรุนแรงของโรคได้ 4.นวัตกรรมการควบคุมยุงลาย 5.ระบาดวิทยาที่สำคัญของโรคไข้เลือดออก และ 6.กระบวนการขับเคลื่อนพลังสังคมในการรณรงค์ต่อสูกับโรคไข้เลือดออกในชุมชน
วันนี้ (21 ต.ค.) ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนสปาร์ค กทม. นพ.วิชัย เทียนถาวร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวภายหลังเปิดประชุมไข้เลือดออกนานาชาติครั้งที่ 3 “ไข้เลือดออกเดงกี่โลก : ความท้าทายและพันธสัญญาร่วมกัน” ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 21-23 ต.ค. 2556 ว่า องค์การอนามัยโลกระบุว่าโรคไข้เลือดออกเป็น 1 ใน 40 โรคที่หวนกลับมาแพร่ระบาดใหม่ กำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขในกว่า 100 ประเทศ มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกปีละกว่า 50-100 ล้านคน กว่าครึ่งต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ในจำนวนนี้เสียชีวิตปีละกว่า 25,000 ราย และมีประชากรเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกปีละประมาณ 2,500 ล้านคน โดยพบว่าเชื้อโรคไข้เลือดออกมีการพัฒนาตัว และระบาดไปยังพื้นที่ใหม่ๆ รวมทั้งเกิดในประเทศในแถบหนาวด้วย
นพ.วิชัย กล่าวอีกว่า โรคไข้เลือดออกเป็นโรคประจำถิ่นที่มีความรุนแรงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี มี 4 สายพันธุ์ การติดเชื้อชนิดนี้สายพันธุ์หนึ่ง จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นตลอดไป แต่จะสามารถป้องกันข้ามไปยังสายพันธุ์อื่นได้เพียงชั่วคราว โรคนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และไม่มียารักษาโดยเฉพาะ จึงทำให้มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตทุกปี ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ปัญหาหลักที่ทั่วโลกเผชิญคือเข้าถึงการรักษาล่าช้า
“องค์การอนามัยโลกจัดทำแผนยุทธศาสตร์ป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ระหว่าง พ.ศ. 2551-2558 เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีผู้เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 70 ของผู้ติดเชื้อทั่วโลก เพื่อลดการเสียชีวิตให้ต่ำกว่าร้อยละ 1 และลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงต่อปี ร้อยละ 20 เพิ่มความร่วมมือการควบคุมป้องกันโรคที่รวดเร็ว แลกเปลี่ยนความรู้ใหม่ๆที่นักวิจัยได้คิดค้นขึ้น แต่ละประเทศมีแผนป้องกันโรคภายในประเทศและป้องกันแพร่ระบาดไปประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้ดำเนินการรณรงค์ป้องกันควบคุมโรคอย่างเต็มที่จนจำนวนผู้ป่วยใหม่รายสัปดาห์มีอัตราลดลงอย่างต่อเนื่อง” นพ.วิชัย กล่าว
นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า การจัดประชุมในครั้งนี้ เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ ได้นำความรู้ และประสบการณ์ในการดำเนินงานป้องกันควบคุมไข้เลือดออกที่มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์มานำเสนอ พัฒนามาตรการป้องกันควบคุมโรค รวมทั้งก่อให้เกิดความร่วมมือในสาขาต่างๆ นำไปสู่การลดปัญหาไข้เลือดออก สำหรับสถานการณ์ไข้เลือดออกในไทยปีนี้ ถือว่ารุนแรงในรอบ 20 ปี โดยข้อมูลตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 15 ต.ค. มีผู้ป่วยแล้ว 135,344 ราย เสียชีวิต 126 ราย มาตรการที่ไทยใช้ยับยั้งการระบาด ได้แก่ การตั้งศูนย์ปฏิบัติการทุกจังหวัดและทุกอำเภอ มีการส่งทีมควบคุมโรคไข้เลือดออกให้ครอบคลุมและทันเวลา และรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมามีรายงานผู้ป่วยสัปดาห์ละ 8,000 ราย ขณะนี้มีรายงานไม่ถึงสัปดาห์ละ 2,000 ราย คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่จะต้องดำเนินการต่อเนื่อง โดยเฉพาะการควบคุมยุงลาย
ด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ประธานคณะกรรมการวิทยาศาสตร์การจัดประชุมไข้เลือดออกนานาชาติฝ่ายไทย กล่าวว่า การจัดประชุมวิชาการปีนี้ มีการบรรยายองค์ความรู้ใหม่ๆในการพิชิตโรคไข้เลือดออก 6 เรื่อง ได้แก่ 1.วัคซีนไข้เลือดออก 2.กลไกของสารต่อต้านไวรัสโรคไข้เลือดออก ที่จะนำมาต่อยอดเป็นองค์ความรู้ในการผลิตยาต้านไวรัสไข้เลือดออก 3.เทคโนโลยีใหม่ในการตรวจวินิจฉัยโรค ให้รู้เร็ว และสามารถใช้คาดการณ์ระดับความรุนแรงของโรคได้ 4.นวัตกรรมการควบคุมยุงลาย 5.ระบาดวิทยาที่สำคัญของโรคไข้เลือดออก และ 6.กระบวนการขับเคลื่อนพลังสังคมในการรณรงค์ต่อสูกับโรคไข้เลือดออกในชุมชน