อ.นพ.ชนินทร์ ลีวานันท์
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
การกดจุด เป็นการบรรเทาอาการปวดที่ไม่ต้องกินยา แต่ใช้การกดกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เป็นศาสตร์ของแพทย์ทางเลือกสำหรับผู้ป่วยอีกแขนงหนึ่ง
การกดจุดเป็นศาสตร์ของการแพทย์แผนปัจจุบัน แผนไทย และการแพทย์แผนจีน ที่นำมาประยุกต์สำหรับใช้ลดอาการปวด โดยใช้นิ้วโป้ง หรือนิ้วชี้ กดลงบนร่างกายตามจุดต่างๆ
สิ่งสำคัญของการกดจุด เพื่อให้พังผืดที่มีการเกาะรั้งในตำแหน่งของมัดกล้ามเนื้อข้างๆ ให้มีการคลายตัว การกดค้างไว้สักครู่แล้วปล่อยนิ้ว จะทำให้จุดที่กดขาดเลือดชั่วคราว แต่เมื่อปล่อยนิ้ว เลือดจะวิ่งกลับมามากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณที่กด เมื่อกล้ามเนื้อมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น ก็จะช่วยลดอาการปวดจากการขาดเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ แต่ในกรณีที่เมื่อกดไปแล้วกล้ามเนื้อยังเกร็งอยู่ อาจพบในคนไข้ที่กินยาแก้ปวดมานานเป็นเวลา 8-10 ปี จึงทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้ยาก กรณีเช่นนี้จะต้องใช้เวลาในการกดจุดนานกว่าคนไข้ที่เพิ่งเป็น 2-3 ปี
การกดจุดโดยทั่วไปจะเป็นการกดที่จุดปวดกล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นพังผืด เช่น ที่คอ หลัง สะโพก หรือเป็นการกดจุดตามสัญญาณแพทย์แผนไทย เช่น สัญญาณไหล่ สัญญาณหลัง และยังกดตามจุดฝังเข็มได้ โดยเฉพาะที่บริเวณแนวขนานกระดูกสันหลังระดับคอและเอว
ส่วนข้อห้ามของการกดจุด คือ ตำแหน่งที่เป็นมะเร็ง เพราะอาจเกิดการกระจายของเซลล์มะเร็ง ผู้ที่มีการติดเชื้อ เช่น เป็นฝี หนอง เซลล์อักเสบติดเชื้อ เช่น ทางเดินน้ำเหลืองอักเสบ ข้ออักเสบ หรือบริเวณที่เพิ่งมีการบาดเจ็บ หรือเลือดออกที่ยังหายไม่สนิท
ผลการรักษาขึ้นอยู่กับอาการปวดของคนไข้แต่ละราย ส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้น 80% ส่วนอีก 20% ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองของคนไข้ โดยหลังการรักษา แพทย์จะแนะนำท่าสำหรับฝึกให้ผู้ป่วย เพื่อช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อ
ท้ายนี้ขอฝากท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาจเริ่มที่การปรับพฤติกรรมต่างๆ เช่น การนั่งทำงานนานๆ ควรมีการพักเพื่อยืดกล้ามเนื้อทุกๆ 1 ชั่วโมง ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น การหมุนแขนเบาๆ หรือจะเป็นท่าหันหน้าซ้ายให้สุด จากนั้นสลับเป็นด้านขวา รวมทั้งเอามือขวาสัมผัสศีรษะด้านซ้าย ดึงศีรษะไปด้านขวา ทำสลับกัน โดยการทำทุกท่าจะต้องไม่ฝืน ถ้ารู้สึกตึงก็ปล่อยกลับสู่สภาพปกติ ซึ่งวิธีการบริหารกล้ามเนื้อนี้สามารถทำได้ทุกคนครับ
-----------------
พบกิจกรรมดีๆ ที่ศิริราช
ร่วมงาน 20 ปี เวชศาสตร์ฟื้นฟู
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญร่วมงาน “ครบ 20 ปี เวชศาสตร์ฟื้นฟูศิริราช” รับความรู้ในการดูแลสุขภาพ ชมบูธฟื้นฟูร่างกายจิตใจ และร่วมประมูลสินค้าคนพิการทำเอง ฯลฯ วันที่ 9-13 กันยายนนี้ เวลา 10.30- 14.30 น. ณ โถงอาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ โรงพยาบาลศิริราช โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถาม โทร.0 2419 8627-8
ชวนบริจาคช่วยผู้ป่วยยากไร้ศิริราช
24 กันยายน “วันมหิดล” ขอเชิญตามรอยพระบาทสมเด็จพระบรมราชชนก “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย” ร่วมเป็นผู้ “ให้” ช่วยผู้ป่วยยากไร้โรงพยาบาลศิริราช เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วย บริจาคพร้อมรับธงที่ระลึกจากนักศึกษา และที่ศิริราชมูลนิธิได้ทุกวัน สอบถาม โทร. 0 2419 7658-60
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
การกดจุด เป็นการบรรเทาอาการปวดที่ไม่ต้องกินยา แต่ใช้การกดกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เป็นศาสตร์ของแพทย์ทางเลือกสำหรับผู้ป่วยอีกแขนงหนึ่ง
การกดจุดเป็นศาสตร์ของการแพทย์แผนปัจจุบัน แผนไทย และการแพทย์แผนจีน ที่นำมาประยุกต์สำหรับใช้ลดอาการปวด โดยใช้นิ้วโป้ง หรือนิ้วชี้ กดลงบนร่างกายตามจุดต่างๆ
สิ่งสำคัญของการกดจุด เพื่อให้พังผืดที่มีการเกาะรั้งในตำแหน่งของมัดกล้ามเนื้อข้างๆ ให้มีการคลายตัว การกดค้างไว้สักครู่แล้วปล่อยนิ้ว จะทำให้จุดที่กดขาดเลือดชั่วคราว แต่เมื่อปล่อยนิ้ว เลือดจะวิ่งกลับมามากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณที่กด เมื่อกล้ามเนื้อมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น ก็จะช่วยลดอาการปวดจากการขาดเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ แต่ในกรณีที่เมื่อกดไปแล้วกล้ามเนื้อยังเกร็งอยู่ อาจพบในคนไข้ที่กินยาแก้ปวดมานานเป็นเวลา 8-10 ปี จึงทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้ยาก กรณีเช่นนี้จะต้องใช้เวลาในการกดจุดนานกว่าคนไข้ที่เพิ่งเป็น 2-3 ปี
การกดจุดโดยทั่วไปจะเป็นการกดที่จุดปวดกล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นพังผืด เช่น ที่คอ หลัง สะโพก หรือเป็นการกดจุดตามสัญญาณแพทย์แผนไทย เช่น สัญญาณไหล่ สัญญาณหลัง และยังกดตามจุดฝังเข็มได้ โดยเฉพาะที่บริเวณแนวขนานกระดูกสันหลังระดับคอและเอว
ส่วนข้อห้ามของการกดจุด คือ ตำแหน่งที่เป็นมะเร็ง เพราะอาจเกิดการกระจายของเซลล์มะเร็ง ผู้ที่มีการติดเชื้อ เช่น เป็นฝี หนอง เซลล์อักเสบติดเชื้อ เช่น ทางเดินน้ำเหลืองอักเสบ ข้ออักเสบ หรือบริเวณที่เพิ่งมีการบาดเจ็บ หรือเลือดออกที่ยังหายไม่สนิท
ผลการรักษาขึ้นอยู่กับอาการปวดของคนไข้แต่ละราย ส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้น 80% ส่วนอีก 20% ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองของคนไข้ โดยหลังการรักษา แพทย์จะแนะนำท่าสำหรับฝึกให้ผู้ป่วย เพื่อช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อ
ท้ายนี้ขอฝากท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาจเริ่มที่การปรับพฤติกรรมต่างๆ เช่น การนั่งทำงานนานๆ ควรมีการพักเพื่อยืดกล้ามเนื้อทุกๆ 1 ชั่วโมง ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น การหมุนแขนเบาๆ หรือจะเป็นท่าหันหน้าซ้ายให้สุด จากนั้นสลับเป็นด้านขวา รวมทั้งเอามือขวาสัมผัสศีรษะด้านซ้าย ดึงศีรษะไปด้านขวา ทำสลับกัน โดยการทำทุกท่าจะต้องไม่ฝืน ถ้ารู้สึกตึงก็ปล่อยกลับสู่สภาพปกติ ซึ่งวิธีการบริหารกล้ามเนื้อนี้สามารถทำได้ทุกคนครับ
-----------------
พบกิจกรรมดีๆ ที่ศิริราช
ร่วมงาน 20 ปี เวชศาสตร์ฟื้นฟู
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญร่วมงาน “ครบ 20 ปี เวชศาสตร์ฟื้นฟูศิริราช” รับความรู้ในการดูแลสุขภาพ ชมบูธฟื้นฟูร่างกายจิตใจ และร่วมประมูลสินค้าคนพิการทำเอง ฯลฯ วันที่ 9-13 กันยายนนี้ เวลา 10.30- 14.30 น. ณ โถงอาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ โรงพยาบาลศิริราช โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถาม โทร.0 2419 8627-8
ชวนบริจาคช่วยผู้ป่วยยากไร้ศิริราช
24 กันยายน “วันมหิดล” ขอเชิญตามรอยพระบาทสมเด็จพระบรมราชชนก “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย” ร่วมเป็นผู้ “ให้” ช่วยผู้ป่วยยากไร้โรงพยาบาลศิริราช เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วย บริจาคพร้อมรับธงที่ระลึกจากนักศึกษา และที่ศิริราชมูลนิธิได้ทุกวัน สอบถาม โทร. 0 2419 7658-60