มะเร็งส่วนใหญ่มักคุกคามชีวิตเราโดยที่ไม่รู้ตัว บางครั้งกว่าจะรู้ว่าเป็นก็อาจมีชีวิตเหลืออยู่อีกเพียงไม่กี่เดือน เพราะมะเร็งลุกลามจนเกินกว่าที่จะรักษาได้ทัน แต่โรคนี้หากสามารถรู้ได้เร็วก็จะมีโอกาสรักษาได้หายขาดค่อนข้างสูง ดังนั้น การตรวจหามะเร็งจึงเป็นสิ่งสำคัญ
สำหรับการตรวจหามะเร็ง ในส่วนของมะเร็งตับนั้นอาจเริ่มตั้งแต่การตรวจร่างกายทั่วๆ ไป เพื่อดูลักษณะของตับอักเสบเรื้อรังหรือตับแข็ง ดีซ่าน ตับโต หรือน้ำในช่องท้อง จากนั้นจึงทำการตรวจด้วยวิธีอื่นๆ ได้แก่
1.ตรวจเลือดดูค่าแอลฟาฟีโตโปรตีน (Alpha fetoprotein : AFP) ซึ่งมักจะสูงกว่าปกติในผู้ที่เป็นมะเร็งตับ โดยค่าปกติจะอยู่ที่ 10-20 นาโนกรัม/มิลลิลิตร
2.ตรวจด้วยเครื่องมือที่แสดงผลออกมาในรูปภาพของตับ ซึ่งมักตรวจโดยอัลตราซาวนด์ก่อน ถ้าพบว่ามีก้อนจึงตรวจเพิ่มเติมโดยการเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ หรือตรวจด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กของช่องท้อง เพื่อยืนยันและประเมินระยะของโรคในกรณีที่เป็นมะเร็ง
อย่างไรก็ตาม หากผลการตรวจข้างต้นไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าเป็นมะเร็งตับหรือไม่ แพทย์อาจจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมโดย
3.ตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์ โดยฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงตับก่อน แล้วเอกซเรย์ดูความปิดปกติ เช่น มีหลอดเลือดผิดปกติที่ไปเลี้ยงเนื้องอกภายในตับ หรือการอุดตันของหลอดเลือดดำที่ไปเลี้ยงตับ เป็นต้น
4.ตรวจชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้องอกในตับ โดยใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังเข้าไปยังบริเวณเนื้องอก แล้วดูดตัวอย่างเนื้อขึ้นมาตรวจผ่านกล้องจุลทรรศน์ เพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
5.หากผลการตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับ แพทย์จะส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อดูสภาวะการทำงานของตับ เพื่อเป็นข้อมูลช่วยเสริมในการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยการตรวจเลือดเพื่อดูค่าต่างๆ เช่น ค่าระดับน้ำดีในเลือด (bilirubin) ค่าระดับโปรตีนอัลบูมินในเลือด (albumin) และระยะเวลาที่ใช้ในการแข็งตัวของเลือด (prothrombin time)
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการตรวจภาวะความผิดปกติทางสมองที่เกิดขึ้นจากการคั่งของสารพิษในเลือดจากโรคตับเรื้อรังด้วย