จุฬาฯ เปิดตัวโปรแกรม “อักขราวิสุทธิ์” และระบบอี-ธีสิส ตรวจสอบการลักลอกวิทยานิพนธ์ เริ่มตั้งแต่ปี 56 เป็นต้นไป ตั้งเป้าป้องกันการลักลอกงานวิชาการได้ 100% อนาคตจะพัฒนาระบบตรวจสอบการลักลอกวิกิพีเดีย ชี้เด็ก ป.ตรี นิยมนำข้อมูลมาใช้
วันนี้ (26 ส.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ดร.ม.ร.ว.กัลยา ติงศภัทิย์ รองอธิการบดีจุฬาฯ พร้อมด้วย รศ.ดร.อมร เพชรสม คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยและคณะ ร่วมแถลงข่าว “จุฬาฯ กับมาตรการในการป้องกันการลักลอกผลงานวิชาการ” โดย ผศ.ดร.ม.ร.ว.กัลยา กล่าวว่า ประเด็นการลักลอกผลงานวิชาการ หรือวรรณกรรมอื่นใดก็ตามมาเป็นผลงานตนเองนั้นเป็นเรื่องที่วงการวิชาการรับไม่ได้และเป็นปัญหาร้ายแรงอย่างมากในวงการวิชาการนานาชาติ ถือเป็นความผิดร้ายแรงมาก ซึ่งปัจจุบันพบว่ารูปแบบการลักลอกผลงานมีทั้งการนำเอางานของคนอื่นมาเป็นของตนเอง หรือเอางานของผู้อื่นที่เขียนไว้มาอ้างว่าเป็นของตนเอง โดยไม่มีการอ้างอิงว่าผลงานที่นำมานั้นนำมาจากแหล่งอื่นไม่ใช่งานของตน ซึ่งไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็แล้วแต่ เรื่องนี้ถือว่ารับไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จุฬาฯ ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะสภามหาวิทยาลัยได้กำหนดให้เป็นนโยบายในการตรวจสอบการลักลอกผลงานวิชาการ โดยเริ่มตรวจสอบในระดับบัณฑิตศึกษาก่อน จากนั้นจึงจะเข้ามาตรวจสอบในระดับปริญญาตรีต่อไป
“เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งข้อเสียคือทำให้การลักลอกผลงานทำได้ง่ายขึ้น แค่เปิดเว็บไซต์ค้นหาก็สามารถก๊อบปี้แล้วตัดมาแปะได้ทันทีไม่ต้องแม้แต่จะพิมพ์ซ้ำ แต่ข้อดีของเทคโนโลยีคือเราสามารถพัฒนาเครื่องมือด้านไอทีมาติดตามพวกลักลอกผลงานวิชาการได้ทัน และเมื่อสภาจุฬาฯ มีนโยบายดังกล่าวทางบัณฑิตวิทยาลัย จึงได้ร่วมกับคณะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาตรวจสอบสำหรับเขียนวิทยานิพนธ์และตรวจสอบการลักลอกผลงานวิชาการได้ในระดับปริญญาโท และ ป.เอก ซึ่งในอนาคตจะพัฒนาโปรแกรมเพื่อตรวจสอบการส่งงานในระดับปริญญาตรีด้วย เพราะมักพบว่านิสิตมีการคัดลอกมาจากวิกิพีเดียจำนวนมากด้วย” รองธิการบดี จุฬาฯ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามโปรแกรมที่จุฬาฯ พัฒนาขึ้นใช้ได้ผลดีมากสำหรับธีสิสด้านวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเป็นรายวิชาที่ต้องใช้ข้อมูลใหม่ย้อนหลังภายใน 1-2 ปี ในขณะที่วิทยานิพนธ์ด้านประวัติศาสตร์ซึ่งข้อมูลต่างๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ทำให้การตรวจสอบยังคงต้องอาศัยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ มาเป็นผู้ตรวจสอบ
รศ.ดร.อมร เพชรสม คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาฯ กล่าวว่า จุฬาฯ ยึดสโลแกน “จุฬาฯ 100 ปีต้องไม่มี Plagiarism (การคัดลอกผลงาน)” โดยกำหนด 3 มาตรการในการป้องกันการลักลอกผลงานวิชาการเพื่อสร้างจิตสำนึกให้กับนิสิตทุกคนและอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ได้แก่ มาตรการสร้างจิตสำนึก อาทิ การอบรมและเปิดสอนรายวิชา “จริยธรรมการวิจัย”, มาตราการป้องปราม โดยกำหนดให้นิสิตเขียนวิทยานิพนธ์ด้วยโปรแกรม ซียู อี-ธีสิส (CU e-Thesis) ซึ่งนิสิตทุกคนจะต้องส่งแบบรายงานความก้าวหน้าและแผนการทำวิทยานิพนธ์ทุกภาคการศึกษา โดยอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์จะสามารถติดตามวิทยานิพนธ์ได้ตลอดเวลา และมาตรการสุดท้ายคือการติดตามตรวจสอบด้วยโปรแกรมเทิร์นอิทอิน (Turn it in) และโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ ซึ่งจุฬาฯ เป็นผู้พัฒนาขึ้นเพื่อตรวจสอบวิทยานิพนธ์ที่เป็นภาษาไทยโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันสามารถตรวจสอบข้อความที่ตรงไปตรงมา เหมือนหรือคล้ายกัน แต่ในอนาคตจะพัฒนาโปรแกรมให้รองรับการตัดต่อ หรือสลับข้อความ รวมถึงการคัดลอกข้อความโดยหลีกเลี่ยงใช้คำภาษาไทยอื่นๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันได้ด้วย
“บัณฑิตวิทยาลัยจะเริ่มใช้โปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ ในภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2556 อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งคาดว่าจะมีวิทยานิพนธ์ประมาณ 700-800 เล่มที่จะเข้ารับการตรวจสอบ โดยฐานข้อมูลปัจจุบันของโปรแกรมนี้จะประกอบด้วย วิทยานิพนธ์ 15,000 เล่ม ซึ่งย้อนหลังตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 สารนิพนธ์ 2,000 รายการ วารสาร, รายงานวิจัย และอีบุ๊กของจุฬาฯ ทั้งนี้ในอนาคตจะเพิ่มจำนวนวิทยานิพนธ์จำนวน 2,500 เล่มต่อปี และสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหมดของจุฬาฯ รวมถึงในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 จุฬาฯ จะพัฒนาโปรแกรมให้เชื่อมต่อฐานข้อมูลวิกิพีเดียและฐานข้อมูลอื่นๆ เพื่อการตรวจสอบที่ดียิ่งขึ้น” รศ.ดร.อมร กล่าว
รศ.ดร.อมร กล่าวต่อไปว่า จุฬาฯ มีความคาดหวังว่าโปรแกรมดังกล่าวจะสามารถป้องกันการลักลอกผลงานได้ 100% เบื้องต้นการคัดลอกผลงานกันเองในจุฬาฯ จะทำไม่ได้แล้ว เพราะในโปรแกรมมีฐานข้อมูลทั้งหมด ซึ่งในอนาคตหากมหาวิทยาลัยอื่นๆ เข้ามาร่วมกันใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน ก็จะสามารถตรวจสอบผลงานวิทยานิพนธ์ทั่วประเทศได้ ทางจุฬาฯ ยินดีให้ใช้โปรแกรมดังกล่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนกรณีการแก้ปัญหาเรื่องการรับจ้างทำวิทยานิพนธ์ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เพราะโปรแกรมซียู อี-ธีสิส เปิดโอกาสให้อาจารย์ที่ปรึกษาเข้าไปติดตาม หากเห็นว่านิสิตมีผลงานดีขึ้นกะทันหันก็จะต้องจับสังเกตได้ โดยโปรแกรมนี้ยังบันทึกการเข้ามาดูผลงานนิสิตของอาจารย์ไว้ด้วย
“สำหรับการประมวลผลของโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์จะประเมินความเหมือนของข้อมูลออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจำนวนเปอร์เซ็นต์มากจะบ่งชี้ว่าอาจมีการลักลอก ทั้งนี้ผู้ตรวจสอบจะต้องดูว่าสิ่งที่เหมือนคืออะไร ถ้าสิ่งที่เหมือนเป็นข้อมูล เช่น ตารางหรือการวิจารณ์ผล หากเหมือนกันเป๊ะ แม้ผลลัพธ์จะระบุว่าไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ก็นับว่าเป็นปัญหา หรือในกรณีการตรวจสอบได้ผลปรากฏว่ามีเปอร์เซ็นต์การเหมือนกันเปอร์เซ็นต์เดียว แต่เนื้อหาเหมือนกับลอกมาเลยก็ถือว่าเป็นความผิดเหมือนกัน” รศ.ดร.อมร กล่าว