สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ อัด “สมีคำ” ทำไม่เหมาะสม ขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้ผู้บริจาคเงิน 1 แสนขึ้นไป ด้าน “สุขุม” ยื่นทูตมะกันให้ความเป็นธรรม
สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) กล่าวว่า กรณีที่ทางอดีตพระวิรพล มีการขอรับบริจาคเงินเพื่อนำไปสร้างตึกสงฆ์อาพาธ ที่ รพ.ร้อยเอ็ด ทั้งยังระบุด้วยว่าจะมีการขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับผู้ที่บริจาคเงินตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไปนั้น การที่พระสงฆ์กระทำในลักษณะดังกล่าวถือว่าไม่มีความเหมาะสม เพราะเหมือนเป็นการทำให้ประชาชนหลงเชื่อ ทั้งนี้หากจะมีการกระทำในลักษณะดังกล่าวโดยที่จะมีการขอเครื่องราชฯให้กับผู้ที่บริจาคเงินนั้น สามารถทำได้ แต่ควรที่จะดำเนินการภายหลังจากที่มีผู้บริจาคเงินด้วยความศรัทธาเข้ามาแล้ว ไม่ใช่นำไปโฆษณาในลักษณะดังกล่าวเพื่อเป็นการเชิญชวนให้ประชาชนหลงเชื่อและบริจาคเงิน
ด้าน นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม กล่าวว่า ตนได้เดินทางไปยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เรื่อง ขอความเป็นธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่ พิจารณาคำร้องของสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ดีเอสไอ มหาเถรสมาคม ในการร้องขอให้มีการถอนวีซ่า ของพระวิรพล สุขผล โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1.ขอให้ท่านปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกระแสข่าว 2.ขอให้ท่านใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ ในเรื่องข้อตกลงการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเคร่งครัด ในประเด็นที่จะพิจารณาว่า ขณะนี้คดีของพระวิรพล สุขผล ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น ที่พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนที่จะให้พนักงานอัยการพิจารณาว่าควรที่จะส่งฟ้องศาลหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ศาลยังไม่ได้มีการพิจารณาตัดสินเลย พระวริพล สุขผล ยังเป็นผู้บริสุทธิ์
“อยากกราบเรียนท่านทูตว่า ทางดีเอสไอยังขาดพยานหลักฐานที่จะให้ศาลเชื่อว่า พระวิรพล ได้กระทำความผิดจริง และที่สำคัญ คดีนี้ศาลยังไม่ได้ตัดสินให้พระวิรพล มีความผิด ขอให้ท่านทูตใช้ดุลพินิจพิจารณาคำร้องของดีเอสไอ ที่จะให้ทางสถานทูตสหรัฐอเมริกายกเลิกวีซ่า และขอให้ใช้สนธิสัญญาข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อที่จับกุมมาดำเนินคดี ตอนนี้ไม่มีที่พึ่งใดที่จะให้ความเป็นธรรมได้อีกแล้ว นอกจากท่านเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่เปี่ยมด้วยความมีเมตตาธรรม ได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมฉบับนี้ด้วยความยุติธรรม” นายสุขุม กล่าวทิ้งท้าย
สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) กล่าวว่า กรณีที่ทางอดีตพระวิรพล มีการขอรับบริจาคเงินเพื่อนำไปสร้างตึกสงฆ์อาพาธ ที่ รพ.ร้อยเอ็ด ทั้งยังระบุด้วยว่าจะมีการขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับผู้ที่บริจาคเงินตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไปนั้น การที่พระสงฆ์กระทำในลักษณะดังกล่าวถือว่าไม่มีความเหมาะสม เพราะเหมือนเป็นการทำให้ประชาชนหลงเชื่อ ทั้งนี้หากจะมีการกระทำในลักษณะดังกล่าวโดยที่จะมีการขอเครื่องราชฯให้กับผู้ที่บริจาคเงินนั้น สามารถทำได้ แต่ควรที่จะดำเนินการภายหลังจากที่มีผู้บริจาคเงินด้วยความศรัทธาเข้ามาแล้ว ไม่ใช่นำไปโฆษณาในลักษณะดังกล่าวเพื่อเป็นการเชิญชวนให้ประชาชนหลงเชื่อและบริจาคเงิน
ด้าน นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม กล่าวว่า ตนได้เดินทางไปยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เรื่อง ขอความเป็นธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่ พิจารณาคำร้องของสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ดีเอสไอ มหาเถรสมาคม ในการร้องขอให้มีการถอนวีซ่า ของพระวิรพล สุขผล โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1.ขอให้ท่านปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกระแสข่าว 2.ขอให้ท่านใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ ในเรื่องข้อตกลงการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเคร่งครัด ในประเด็นที่จะพิจารณาว่า ขณะนี้คดีของพระวิรพล สุขผล ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น ที่พนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนที่จะให้พนักงานอัยการพิจารณาว่าควรที่จะส่งฟ้องศาลหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ศาลยังไม่ได้มีการพิจารณาตัดสินเลย พระวริพล สุขผล ยังเป็นผู้บริสุทธิ์
“อยากกราบเรียนท่านทูตว่า ทางดีเอสไอยังขาดพยานหลักฐานที่จะให้ศาลเชื่อว่า พระวิรพล ได้กระทำความผิดจริง และที่สำคัญ คดีนี้ศาลยังไม่ได้ตัดสินให้พระวิรพล มีความผิด ขอให้ท่านทูตใช้ดุลพินิจพิจารณาคำร้องของดีเอสไอ ที่จะให้ทางสถานทูตสหรัฐอเมริกายกเลิกวีซ่า และขอให้ใช้สนธิสัญญาข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อที่จับกุมมาดำเนินคดี ตอนนี้ไม่มีที่พึ่งใดที่จะให้ความเป็นธรรมได้อีกแล้ว นอกจากท่านเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่เปี่ยมด้วยความมีเมตตาธรรม ได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมฉบับนี้ด้วยความยุติธรรม” นายสุขุม กล่าวทิ้งท้าย