“กินอย่างไรก็ได้อย่างนั้น” คำพูดนี้เห็นจะไม่เกินความเป็นจริง เพราะหนึ่งในโรคที่มีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารและพบบ่อยในคนไทยคือ โรคไตวายเรื้อรัง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผศ.ชนิดา ปโชติการ นายกสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ที่เป็นโรคไตส่วนหนึ่งมาจากอาหารที่กิน เช่น อาหารที่มีรสเค็มจัด และไม่สะอาด ซึ่งการกินอาหารให้ห่างไกลโรคไตนั้น ต้องเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกินก่อน เช่น ลดปริมาณอาหารให้น้อยลงเมื่อเกินความต้องการของร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันจากสัตว์และคอเลสเตอรอลสูง รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด และมีกะทิ เพื่อป้องกันโรคอ้วน ซึ่งจะเป็นสาเหตุสู่โรคอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันอุดตันในเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเป็นโรคไตเรื้อรังที่ตามมา นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคไตได้
"สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรระมัดระวังไม่ให้โรครุนแรงมากกว่าเดิม นอกจากการกินยาตามแพทย์สั่ง และล้างไตทางช่องท้องหรือฟอกเลือดอย่างสม่ำเสมอแล้ว ก็ควรเลือกกินอาหารให้เหมาะสมด้วยเช่นกัน เพราะการล้างไตผ่านช่องท้องและการฟอกเลือด อาจเกิดภาวะขาดสารอาหารได้ เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร ทานอาหารได้น้อยลง สูญเสียสารอาหารระหว่างฟอกเลือด และล้างไตทางช่องท้อง เช่น โปรตีน ผู้ป่วยจึงควรมีความรู้ความเข้าใจในการเลือกกิน เพื่อให้ได้รับสารอาหารโปรตีนและพลังงานที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย"
สำหรับการเลือกกินอาหารนั้น ผศ.ชนิดา แนะนำว่า ผู้ป่วยโรคไตจะต้องรับการประเมินภาวะโภชนาการ ได้แก่ น้ำหนักตัว ผลทางชีวเคมีของเลือด เช่น อัลบูมิน (วัดโปรตีนในเลือด) การประเมินอาการทางคลินิกและการประเมินการบริโภค และนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรึกษานักกำหนดอาหาร/นักโภชนาการ เพื่อจะได้กำหนดปริมาณและรับประทานอาหารให้ถูกต้องเหมาะสมกับภาวะที่ร่างกายต้องการของแต่ละบุคคล
แต่โดยหลักคือควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ทั้งเนื้อสัตว์ ข้าวแป้ง ไขมันที่ดี รวมทั้งผักและผลไม้แต่ต้องกินในปริมาณที่แนะนำ เช่น ผลไม้อาจกินเงาะได้ไม่เกินวันละ 8 ผล แต่ควรงดเมื่อผลทางชีวเคมีของโพแทสเซียมในเลือดเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ขณะเดียวกันสารอาหารโปรตีนที่พบมากในเนื้อสัตว์ต้องรับประทานให้เพียงพอ โดยเน้นบริโภคปลา เพราะเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่ดี ย่อยง่าย มีไขมันต่ำ ในผู้ที่ล้างไตทางช่องท้องควรกินให้ได้ 4-6 ช้อนโต๊ะต่อมื้อหรือเท่ากับ 3 กล่องไม้ขีดไฟกล่องเล็ก หรือ ไพ่ 1 สำรับ และกินไข่ขาววันละ 2 ฟอง การจัดอาหารให้น่ารับประทาน และดัดแปลงเมนูให้หลากหลาย จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกอยากรับประทานอาหารมากยิ่งขึ้น
ผศ.ชนิดา บอกอีกว่า ควรกินอาหารที่ปรุงด้วยวิธีการต้ม นึ่ง และย่าง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ น้ำมันในการปรุงอาหาร ประเภทผัด จะต้องเป็นน้ำมันที่ดีคือ มีไขมันไม่อิ่มตัว เนื่องจากเรากินน้ำมันด้วย ควรใช้น้ำมันถั่วเหลืองผสมกับน้ำมันรำข้าวในสัดส่วน 1 : 1 สำหรับ เพื่อลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดที่จะนำไปสู่โรคหัวใจ ส่วนน้ำมันปาล์ม ใช้สำหรับอาหารประเภททอด โดยหลังทอดเสร็จแล้วควรใช้กระดาษซับเอาน้ำมันออก ก็จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ที่สำคัญช่วยยืดอายุให้ยืนยาวมากยิ่งขึ้น
"ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีไขมันและคอเรสเตอรอลสูง เช่น อาหารทะเล หมูสามชั้น หนังเป็ด หนังไก่ เครื่องในสัตว์ ไส้กรอก แฮม ปลาส้ม กุนเชียง รวมถึงเนื้อสัตว์ที่มีรสเค็ม และอาหารทะเลแช่แข็งด้วย เพราะมีเกลือแร่ที่ชื่อโซเดียม ซึ่งงานวิจัยพบว่าการกินโซเดียมเกินกว่าที่กำหนดมีผลต่อความดันโลหิตสูง ส่งผลให้หลอดเลือดต่างๆ เสื่อมได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญต้องระวังเครื่องปรุง เช่น เกลือ น้ำปลา น้ำตาล ด้วย ซึ่งเราเติมลงในอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ แต่ร่างกายไม่ได้มีความต้องการ ต้องจำกัดปริมาณให้เหมาะสม มิฉะนั้นการตามใจปากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อความดันเลือด ระบบหัวใจ และระดับแคลเซียมในเลือด หรืออาจทำให้เสียชีวิตได้"
ผศ.ชนิดา กล่าวว่า หากผู้ป่วยอยากเพิ่มรสชาติ สามารถทำได้โดยใช้สมุนไพรช่วยในการปรุงรส เช่น หอมแดง ใบมะกรูด กระเทียม ข่า ตะไคร้ กระชาย ผักชี ขิง ใบแมงลัก เป็นต้น นอกจากนี้ ควรลดการกินขนมเบเกอรี่ ขนมปัง ซึ่งใช้ผงฟูซึ่งมีโซเดียมแฝงอยู่ นอกจากนี้ ผงฟูยังมีเกลือแร่ชื่อฟอสฟอรัสซึ่งมีผลต่อกระดูกเปราะในผู้ป่วยไตเรื้อรังถ้ากินมากเกินไป ควรลดน้ำตาลทรายและอาหารที่มีกะทิ เช่น แกงกะทิ ฉู่ฉี่ ก๋วยเตี๋ยวแขก ข้าวซอย ของหวานที่มีกะทิข้น เช่น ขนมปากิมไข่เต่า ผลไม้เชื่อมซึ่งมีผลต่อไขมันในเลือดชื่อ ไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจ หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองและอาหารที่ย่อยยากและชิ้นใหญ่ ไม่ควรกินอาหารมื้อใหญ่ ควรแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ หลายมื้อ กินให้พอเหมาะกับกิจกรรม
นอกจากนี้ ควรจำกัดน้ำดื่มเมื่อมีอาการบวม โดยดื่มน้ำปริมาณเท่ากับปริมาณปัสสาวะต่อวันที่ขับออกมา บวกกับน้ำ 500 ซีซี หลีกเลี่ยงการดื่ม ชา กาแฟ ช็อกโกแลต น้ำอัดลม เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีทั้งโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณค่อนข้างสูง งดการดื่มสุราและสูบบุหรี่ ทั้งนี้ผู้ป่วยควรออกกำลังกายเบาๆ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า กล้ามเนื้อแข็งแรง และควบคุมความดันโลหิตได้ดีขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ และเลี่ยงภาวะตึงเครียดต่างๆ ที่จะทำให้สุขภาพจิตเสื่อมลง ถ้าผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังสามารถปฏิบัติตัวได้ดังกล่าวก็สามารถอยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้แม้นเป็นโรคไตเรื้อรัง
แม้จะมีข้อควรระวังที่เยอะเกินไปหน่อย แต่สำหรับคนเป็นโรคแล้วแต่อยากมีชีวิตยืนยาวก็ควรที่จะเลือกกินอาหารให้เหมาะสม และดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน ส่วนคนที่มีสุขภาพดีแล้ว ก็จะช่วยเป็นแนวทางป้องกันโรคเช่นกัน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผศ.ชนิดา ปโชติการ นายกสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ที่เป็นโรคไตส่วนหนึ่งมาจากอาหารที่กิน เช่น อาหารที่มีรสเค็มจัด และไม่สะอาด ซึ่งการกินอาหารให้ห่างไกลโรคไตนั้น ต้องเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกินก่อน เช่น ลดปริมาณอาหารให้น้อยลงเมื่อเกินความต้องการของร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันจากสัตว์และคอเลสเตอรอลสูง รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด และมีกะทิ เพื่อป้องกันโรคอ้วน ซึ่งจะเป็นสาเหตุสู่โรคอื่นๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันอุดตันในเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเป็นโรคไตเรื้อรังที่ตามมา นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคไตได้
"สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรระมัดระวังไม่ให้โรครุนแรงมากกว่าเดิม นอกจากการกินยาตามแพทย์สั่ง และล้างไตทางช่องท้องหรือฟอกเลือดอย่างสม่ำเสมอแล้ว ก็ควรเลือกกินอาหารให้เหมาะสมด้วยเช่นกัน เพราะการล้างไตผ่านช่องท้องและการฟอกเลือด อาจเกิดภาวะขาดสารอาหารได้ เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร ทานอาหารได้น้อยลง สูญเสียสารอาหารระหว่างฟอกเลือด และล้างไตทางช่องท้อง เช่น โปรตีน ผู้ป่วยจึงควรมีความรู้ความเข้าใจในการเลือกกิน เพื่อให้ได้รับสารอาหารโปรตีนและพลังงานที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย"
สำหรับการเลือกกินอาหารนั้น ผศ.ชนิดา แนะนำว่า ผู้ป่วยโรคไตจะต้องรับการประเมินภาวะโภชนาการ ได้แก่ น้ำหนักตัว ผลทางชีวเคมีของเลือด เช่น อัลบูมิน (วัดโปรตีนในเลือด) การประเมินอาการทางคลินิกและการประเมินการบริโภค และนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรึกษานักกำหนดอาหาร/นักโภชนาการ เพื่อจะได้กำหนดปริมาณและรับประทานอาหารให้ถูกต้องเหมาะสมกับภาวะที่ร่างกายต้องการของแต่ละบุคคล
แต่โดยหลักคือควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ทั้งเนื้อสัตว์ ข้าวแป้ง ไขมันที่ดี รวมทั้งผักและผลไม้แต่ต้องกินในปริมาณที่แนะนำ เช่น ผลไม้อาจกินเงาะได้ไม่เกินวันละ 8 ผล แต่ควรงดเมื่อผลทางชีวเคมีของโพแทสเซียมในเลือดเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ขณะเดียวกันสารอาหารโปรตีนที่พบมากในเนื้อสัตว์ต้องรับประทานให้เพียงพอ โดยเน้นบริโภคปลา เพราะเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่ดี ย่อยง่าย มีไขมันต่ำ ในผู้ที่ล้างไตทางช่องท้องควรกินให้ได้ 4-6 ช้อนโต๊ะต่อมื้อหรือเท่ากับ 3 กล่องไม้ขีดไฟกล่องเล็ก หรือ ไพ่ 1 สำรับ และกินไข่ขาววันละ 2 ฟอง การจัดอาหารให้น่ารับประทาน และดัดแปลงเมนูให้หลากหลาย จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกอยากรับประทานอาหารมากยิ่งขึ้น
ผศ.ชนิดา บอกอีกว่า ควรกินอาหารที่ปรุงด้วยวิธีการต้ม นึ่ง และย่าง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ น้ำมันในการปรุงอาหาร ประเภทผัด จะต้องเป็นน้ำมันที่ดีคือ มีไขมันไม่อิ่มตัว เนื่องจากเรากินน้ำมันด้วย ควรใช้น้ำมันถั่วเหลืองผสมกับน้ำมันรำข้าวในสัดส่วน 1 : 1 สำหรับ เพื่อลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดที่จะนำไปสู่โรคหัวใจ ส่วนน้ำมันปาล์ม ใช้สำหรับอาหารประเภททอด โดยหลังทอดเสร็จแล้วควรใช้กระดาษซับเอาน้ำมันออก ก็จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ที่สำคัญช่วยยืดอายุให้ยืนยาวมากยิ่งขึ้น
"ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีไขมันและคอเรสเตอรอลสูง เช่น อาหารทะเล หมูสามชั้น หนังเป็ด หนังไก่ เครื่องในสัตว์ ไส้กรอก แฮม ปลาส้ม กุนเชียง รวมถึงเนื้อสัตว์ที่มีรสเค็ม และอาหารทะเลแช่แข็งด้วย เพราะมีเกลือแร่ที่ชื่อโซเดียม ซึ่งงานวิจัยพบว่าการกินโซเดียมเกินกว่าที่กำหนดมีผลต่อความดันโลหิตสูง ส่งผลให้หลอดเลือดต่างๆ เสื่อมได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญต้องระวังเครื่องปรุง เช่น เกลือ น้ำปลา น้ำตาล ด้วย ซึ่งเราเติมลงในอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ แต่ร่างกายไม่ได้มีความต้องการ ต้องจำกัดปริมาณให้เหมาะสม มิฉะนั้นการตามใจปากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อความดันเลือด ระบบหัวใจ และระดับแคลเซียมในเลือด หรืออาจทำให้เสียชีวิตได้"
ผศ.ชนิดา กล่าวว่า หากผู้ป่วยอยากเพิ่มรสชาติ สามารถทำได้โดยใช้สมุนไพรช่วยในการปรุงรส เช่น หอมแดง ใบมะกรูด กระเทียม ข่า ตะไคร้ กระชาย ผักชี ขิง ใบแมงลัก เป็นต้น นอกจากนี้ ควรลดการกินขนมเบเกอรี่ ขนมปัง ซึ่งใช้ผงฟูซึ่งมีโซเดียมแฝงอยู่ นอกจากนี้ ผงฟูยังมีเกลือแร่ชื่อฟอสฟอรัสซึ่งมีผลต่อกระดูกเปราะในผู้ป่วยไตเรื้อรังถ้ากินมากเกินไป ควรลดน้ำตาลทรายและอาหารที่มีกะทิ เช่น แกงกะทิ ฉู่ฉี่ ก๋วยเตี๋ยวแขก ข้าวซอย ของหวานที่มีกะทิข้น เช่น ขนมปากิมไข่เต่า ผลไม้เชื่อมซึ่งมีผลต่อไขมันในเลือดชื่อ ไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจ หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองและอาหารที่ย่อยยากและชิ้นใหญ่ ไม่ควรกินอาหารมื้อใหญ่ ควรแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ หลายมื้อ กินให้พอเหมาะกับกิจกรรม
นอกจากนี้ ควรจำกัดน้ำดื่มเมื่อมีอาการบวม โดยดื่มน้ำปริมาณเท่ากับปริมาณปัสสาวะต่อวันที่ขับออกมา บวกกับน้ำ 500 ซีซี หลีกเลี่ยงการดื่ม ชา กาแฟ ช็อกโกแลต น้ำอัดลม เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีทั้งโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณค่อนข้างสูง งดการดื่มสุราและสูบบุหรี่ ทั้งนี้ผู้ป่วยควรออกกำลังกายเบาๆ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า กล้ามเนื้อแข็งแรง และควบคุมความดันโลหิตได้ดีขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ และเลี่ยงภาวะตึงเครียดต่างๆ ที่จะทำให้สุขภาพจิตเสื่อมลง ถ้าผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังสามารถปฏิบัติตัวได้ดังกล่าวก็สามารถอยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้แม้นเป็นโรคไตเรื้อรัง
แม้จะมีข้อควรระวังที่เยอะเกินไปหน่อย แต่สำหรับคนเป็นโรคแล้วแต่อยากมีชีวิตยืนยาวก็ควรที่จะเลือกกินอาหารให้เหมาะสม และดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน ส่วนคนที่มีสุขภาพดีแล้ว ก็จะช่วยเป็นแนวทางป้องกันโรคเช่นกัน