คกก.อนามัยเจริญพันธุ์ เล็งใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งขายถุงยางอนามัย ให้ความรู้ป้องกันการท้องไม่พร้อม แก้ปัญหาวัยโจ๋มีเซ็กซ์ปลอดภัย สั่งเปลี่ยนชื่อคลินิกเรื่องเพศเชิญชวนเด็กเข้าปรึกษามากขึ้น พร้อมมอบราชวิทยาลัยแพทย์ศึกษาข้อบ่งใช้การใช้ “ยาทำแท้ง” แบบถูกกฎหมาย
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอนามัยเจริญพันธุ์แห่งชาติ ว่า กลยุทธ์การแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมจะเน้น 3 เรื่องหลัก คือ 1.การให้ความรู้และการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม และทำความเข้าใจกับผู้ใหญ่ว่าการห้ามไม่ให้เยาวชนมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องยาก จึงต้องแนะนำแนวทางการป้องกันที่ถูกต้อง 2.การใช้โซเชียลมีเดีย เป็นสื่อกลางช่วยให้เยาวชนเข้าถึงแนวทางการป้องกัน การเข้าถึงบริการและอุปกรณ์การป้องกัน ซึ่งอาจจะใช้เป็นแหล่งในการให้ความรู้ แจกฟรี หรือขายอุปกรณ์การป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัย เพื่อแก้ปัญหาวัยรุ่นไม่กล้าเผชิญหน้าในการสอบถามข้อสงสัย และ 3.สถานที่ให้บริการแก่เยาวชน อาจจะต้องมีการพัฒนาให้อยู่นอกโรงพยาบาลเป็นคลินิกต่างๆ โดยให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นคลินิกสุขภาพวัยรุ่น
“หากใช้คลินิกอนามัยเจริญพันธุ์อาจทำให้เด็กไม่กล้าใช้บริการ ส่วนงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการมี 2 ส่วน คือ งบประมาณส่งเสริมป้องกันโรคของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการพัฒนาอนามัยเจริญพันธุ์ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการให้แล้วเสร็จก่อนนำกลับมาเสนอคณะกรรมการชุดนี้อีกครั้ง ภายใน 60 วัน” รมว.สาธารณสุข กล่าว
นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า คณะกรรมการยังได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียบ กฎ และกฎหมายด้านอนามัยเจริญพันธุ์ทำการศึกษา ทบทวน กฎหมาย กฎระเบียบที่อาจเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงการคุมกำเนิดและการแก้ปัญหาตั้งครรภ์ไม่พร้อม เช่น การห้ามขายยายุติการตั้งครรภ์ แต่จะต้องหารือกับราชวิทยาลัยแพทย์ที่เกี่ยวข้องให้ออกข้อบ่งชี้ในการใช้และมาตรการควบคุมที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการใช้ในทางที่ผิด จากนั้นจึงจะพิจารณาว่าควรเดินหน้าในเรื่องนี้ต่อไปหรือไม่ เพราะมีทั้งผลดีและผลเสีย
นพ.ประดิษฐ กล่าวด้วยว่า คณะกรรมการมีการหารือเรื่องปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ซึ่งพบว่ามีปัญหาในกลุ่มเยาวชนในระบบการศึกษา และผู้หญิงในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวยังมีทัศนคติที่ไม่ดีในเรื่องการคุมกำเนิด ขาดความรู้ และเข้าไม่ถึงอุปกรณ์การป้องกัน เพราะผู้ปกครองมองว่าจะเป็นส่งเสริมให้เด็กมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร จึงอยากให้ผู้ปกครองและผู้ใหญ่ ยอมรับว่า ยุคปัจจุบันการจะห้ามไม่ให้เด็กมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องยาก
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอนามัยเจริญพันธุ์แห่งชาติ ว่า กลยุทธ์การแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมจะเน้น 3 เรื่องหลัก คือ 1.การให้ความรู้และการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม และทำความเข้าใจกับผู้ใหญ่ว่าการห้ามไม่ให้เยาวชนมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องยาก จึงต้องแนะนำแนวทางการป้องกันที่ถูกต้อง 2.การใช้โซเชียลมีเดีย เป็นสื่อกลางช่วยให้เยาวชนเข้าถึงแนวทางการป้องกัน การเข้าถึงบริการและอุปกรณ์การป้องกัน ซึ่งอาจจะใช้เป็นแหล่งในการให้ความรู้ แจกฟรี หรือขายอุปกรณ์การป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัย เพื่อแก้ปัญหาวัยรุ่นไม่กล้าเผชิญหน้าในการสอบถามข้อสงสัย และ 3.สถานที่ให้บริการแก่เยาวชน อาจจะต้องมีการพัฒนาให้อยู่นอกโรงพยาบาลเป็นคลินิกต่างๆ โดยให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นคลินิกสุขภาพวัยรุ่น
“หากใช้คลินิกอนามัยเจริญพันธุ์อาจทำให้เด็กไม่กล้าใช้บริการ ส่วนงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการมี 2 ส่วน คือ งบประมาณส่งเสริมป้องกันโรคของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการพัฒนาอนามัยเจริญพันธุ์ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการให้แล้วเสร็จก่อนนำกลับมาเสนอคณะกรรมการชุดนี้อีกครั้ง ภายใน 60 วัน” รมว.สาธารณสุข กล่าว
นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า คณะกรรมการยังได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียบ กฎ และกฎหมายด้านอนามัยเจริญพันธุ์ทำการศึกษา ทบทวน กฎหมาย กฎระเบียบที่อาจเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงการคุมกำเนิดและการแก้ปัญหาตั้งครรภ์ไม่พร้อม เช่น การห้ามขายยายุติการตั้งครรภ์ แต่จะต้องหารือกับราชวิทยาลัยแพทย์ที่เกี่ยวข้องให้ออกข้อบ่งชี้ในการใช้และมาตรการควบคุมที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการใช้ในทางที่ผิด จากนั้นจึงจะพิจารณาว่าควรเดินหน้าในเรื่องนี้ต่อไปหรือไม่ เพราะมีทั้งผลดีและผลเสีย
นพ.ประดิษฐ กล่าวด้วยว่า คณะกรรมการมีการหารือเรื่องปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ซึ่งพบว่ามีปัญหาในกลุ่มเยาวชนในระบบการศึกษา และผู้หญิงในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวยังมีทัศนคติที่ไม่ดีในเรื่องการคุมกำเนิด ขาดความรู้ และเข้าไม่ถึงอุปกรณ์การป้องกัน เพราะผู้ปกครองมองว่าจะเป็นส่งเสริมให้เด็กมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร จึงอยากให้ผู้ปกครองและผู้ใหญ่ ยอมรับว่า ยุคปัจจุบันการจะห้ามไม่ให้เด็กมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องยาก