ผู้ป่วยรักษาตัวจากโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น 5 เท่า แพทย์แนะลดอาหารเค็ม ออกกำลังกาย หากเป็นโรคแล้วไม่ควบคุม เสี่ยงโรคหัวใจ ไต หลอดเลือดสมองแตก/ตีบ หรือเสียชีวิตกะทันหัน หากพบอาการผิดปกติต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ไม่เกิน 3 ชั่วโมง เพื่อรักษาชีวิตและสามารถฟื้นฟูกลับมาปกติได้
วันนี้ (22 พ.ค.) นพ.นพพร ชื่นกลิ่น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเข้ารับการรักษาในสถานบริการสาธารณสุขของ สธ.มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปี 2544-2554 เพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าตัว ทั้งนี้ โรคความดันโลหิตสูงส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ ทำให้เส้นเลือดแดงแข็งขึ้น ลดความเร็วการไหลเวียนเลือดและออกซิเจนไปสู่หัวใจ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่ออื่นๆ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลว หลอดเลือดสมองแตก/ตีบ โรคเบาหวาน และโรคไตวายตามมาได้ กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง คือ ผู้ที่ชอบบริโภคอาหารรสเค็ม บริโภคผักผลไม้น้อย คนอ้วน ผู้ที่ชอบนั่งๆนอนๆ ขาดกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่ออกกำลังกาย ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่ หรือสูดดมควันบุหรี่มือสอง และผู้มีความเครียดเรื้อรังที่จัดการไม่ได้ สำหรับค่าความดันโลหิตที่ดี ต้องไม่เกิน 120/80 มิลลิเมตรปรอท
นพ.นพพร กล่าวอีกว่า การป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ควรปฏิบัติดังนี้ 1.ลดการบริโภคอาหารเค็ม เพิ่มบริโภคผักผลไม้รสหวานน้อย 2.มีกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างกระฉับกระเฉ และควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมงครึ่ง 3.งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่ 4.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5.ลดความอ้วน 6.เมื่อเครียด อย่าปล่อยให้เครียดสะสม ควรหาทางจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม และ 7.ควรวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ต้องมีวินัยในการรับประทานยาอย่างเคร่งครัด และสังเกตอาการผิดปกติ ดังนี้ เจ็บแน่นหน้าอกเหมือนมีอะไรมากดทับ หายใจลำบาก บวมปลายมือปลายเท้า หรือมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด ได้แก่ ปากเบี้ยว แขน ขาอ่อนแรงหรือชาครึ่งซีก ตามองไม่ชัด มีปัญหาด้านการพูดและการสื่อสาร ซึม หมดสติ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดไม่เกิน 3 ชั่วโมง จะช่วยรักษาชีวิตและสามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้หรือใกล้เคียงคนปกติมากที่สุด
