“หมอประดิษฐ” ยัน ผอ.อภ.ยังทำงานได้ แม้ดีเอสไอชงเรื่องวัตถุดิบยาพาราฯให้ ป.ป.ช.โยนบอร์ด อภ.พิจารณาเรื่องการพักงาน ด้านภาคประชาชนตั้งข้อสังเกตการทำงานของดีเอสไอเป็นกลางหรือไม่
วันนี้ (1 พ.ค.) นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งหนังสือผลการสืบสวนการจัดซื้อวัตถุดิบยาพาราเซตามอลขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) กลับมาให้ตนในฐานะต้นเรื่อง ว่า หนังสือดังกล่าวได้ชี้แจงว่า การอธิบายเหตุผลเรื่องการสั่งวัตถุดิบยาพาราเซตามอลช่วงน้ำท่วมของ นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการ อภ.ไม่สมเหตุสมผล และอาจทำผิด พ.ร.บ.ฮั้วการประมูล มาตรา 12 และ มาตรา 157 ส่วน นพ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตประธานคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) มีการชี้มูลว่าอาจมีความผิดในฐานะรับรู้เรื่องนี้ แต่ไม่เข้าไปขัดขวางในเรื่องที่คิดว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งเข้าข่ายมาตรา 157
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อดีเอสไอส่งเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะมีการสั่งพักงาน ผอ.อภ.หรือไม่ นพ.ประดิษฐ กล่าวว่า นพ.วิทิต ยังสามารถทำงานได้ เพราะเป็นการชี้มูลของดีเอสไอส่งไปยัง ป.ป.ช.ส่วนความผิดทางวินัยจะเป็นหน้าที่ของบอร์ด อภ.พิจารณา และคงมีคณะกรรมการในการสอบสวนเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ การสอบสวนจะรวมหลายเรื่อง ทั้งกรณีผลิตยาพาราเซตามอล โรงงานวัคซีน เรื่องยาโครพิโดเกล หรือยาโรคหัวใจ และโรงงานผลิตยาเออาร์วี หรือยาต้านไวรัสเอชไอวี/เอดส์ด้วย ซึ่งล้วนเป็นเรื่องของบอร์ด อภ.พิจารณา คาดว่าไม่เกินต้นสัปดาห์หน้าจะส่งเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมบอร์ด อภ.เพื่อพิจารณา ก่อนรายงานให้ตนทราบ ในฐานะ รมว.สาธารณสุขที่ดูแลเรื่องนี้ แต่ตนไม่ได้ไปกำหนดระยะเวลาใดๆ เพราะเป็นหน้าที่ของบอร์ด อภ.
เมื่อถามว่า เหตุใดจึงเอาผิดเฉพาะตัวบุคคล ไม่เอาผิดบอร์ด อภ.เพราะการทำงานของ อภ.ขึ้นอยู่กับอำนาจบอร์ดฯ นพ.ประดิษฐ กล่าวว่า ผู้อำนวยการ อภ.เป็นผู้บริหารสูงสุดในฝ่ายจัดการ จึงต้องรับผิดชอบ ส่วน นพ.วิชัย เท่าที่ทราบ มีการยอมรับต่อดีเอสไอว่า ทราบเรื่องในฐานะผู้บริหารสูงสุดฝ่ายนโยบาย เมื่อมีการรับรู้จึงน่าคิดว่ามีการยับยั้งเรื่องนี้หรือไม่ ทำให้อาจเข้าข่ายได้
ผู้สื่อข่าวยังถามว่า จากกรณีดังกล่าวทำให้มีความกังวลเรื่องแรงต้านจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การเภสัชกรรม หรือไม่ นพ.ประดิษฐ กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะเมื่อมีเหตุผลมีข้อมูลต่างๆ สหภาพฯควรกลับมาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดกรณีอย่างนี้อีก แต่ขอย้ำว่าการชี้มูลของดีเอสไอ เป็นแค่การชี้มูลเบื้องต้น ไม่ได้บอกว่าผิด เป็นเพียงความเห็น ซึ่งเรื่องต่างๆ ต้องพิสูจน์กันอีก
“สิ่งที่ดีเอสไอสอบสวนนั้นไม่ได้กล่าวหาลอยๆ เพราะการพิจารณาเรื่องอะไรก็ต้องมีหลักฐาน มิฉะนั้นก็จะถูกฟ้องกลับได้เช่นกัน ซึ่งการสอบสวนแต่ละเรื่องผลก็จะออกมาเรื่อยๆ ทั้งนี้ สิ่งที่มีปัญหาหลายเรื่อง เห็นได้ชัดว่าเป็นความบกพร่อง อ่อนแอของฝ่ายจัดการ เช่น เรื่องนำยาใกล้หมดอายุมาจัดการ ผมได้ถามแล้วว่าทำไมมีการนำยาใกล้หมดอายุมาทำเรื่อยๆ ทำไมมีมีการวางแผนนำออกมาผลิตให้นานหน่อย เพราะการนำมาผลิตช่วงใกล้หมดอายุ มันเป็นเส้นบางๆ ว่าทำด้วยความหวังดีหรือกลบเกลื่อนอะไร ซึ่งทุกเรื่องหากมีการบริหารจัดการที่ดีทุกเรื่องก็ไม่มีปัญหา ต้องตอบได้ว่าล่าช้าเพราะอะไร โดยผมไม่ได้มีข้อมูลในมือ ผมไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นการทุจริตอะไรหรือหลบเลี่ยงกฎระเบียบอะไร ต้องให้ผู้มีอำนาจฝ่ายกฎหมายเป็นคนดูแล” รมว.สาธารณสุข กล่าว
ด้าน น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่าย ทำงานขับเคลื่อนประเด็นการประกาศใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยา หรือ ซีแอลยา มาโดยตลอด ทำให้เห็นการทำงานและความพยายามของ อภ.โดยเฉพาะการทำงานของ นพ.วิทิต ซึ่งแม้จะเป็นภาคราชการ แต่ก็พร้อมที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ และยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ กรณีการตรวจสอบการจัดซื้อวัตถุดิบยาพาราฯ นั้น เป็นที่น่าสังเกตว่าขั้นตอนการสอบสวนเอกสาร หลักฐาน และพยานต่างๆ ดำเนินการอย่างรวดเร็วผิดปกติ ต่างจากกรณีซึ่งเป็นความทุกข์ของผู้บริโภค ซึ่งตนไม่อยากมองว่าเป็นใบสั่งของการเมืองหรือไม่ หรือการทำงานของ อภ.ไปขัดประโยชน์ของภาคเอกชน แต่เชื่อว่ากรณีที่เกิดขึ้นน่าจะมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่นอน
“กรณีนี้มีคงหนีไม่พ้นเป็นประเด็นการเมือง โดยเฉพาะในส่วนของ นพ.วิชัย ที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยในฐานะบอร์ด อภ.ซึ่งหากเป็นความรับผิดชอบของบอร์ดโดยตรงต่อกรณีที่เกิดขึ้น เหตุใดจึงฟ้องร้องเฉพาะ นพ.วิชัย เนื่องจากจะต้องเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของบอร์ด อภ.ทุกท่าน ดังนั้นทำให้สังคมคิดไปได้ว่า การที่ นพ.วิชัย ซึ่งมีบุคลิกเป็นผู้ที่กล้าคิด กล้าแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เลยถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับผู้มีอำนาจรัฐ จึงไม่อยากคิดว่าการตรวจสอบครั้งนี้เป็นการสวมรอยล้างแค้นจากฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งหรือไม่ เพราะการทำงานของดีเอสไอที่ผ่านมาก็ถูกตั้งคำถามกันมาก ว่ามีความเป็นกลางยืนอยู่ข้างความถูกต้องหรือไม่” น.ส.สารี กล่าว