โรคอ้วนลงพุง เป็นมหันตภัยเงียบที่กำลังทำร้ายสุขภาพของคนไทยอย่างร้ายแรง ผลพวงของวิถีชีวิตแบบคนเมืองสมัยใหม่ ซึ่งมีพฤติกรรมการกินที่ทำร้ายสุขภาพ บริโภคอาหารหวาน มัน เพิ่มขึ้น ทานผักและผลไม้น้อยลง ตลอดจนขาดการออกกำลังกาย ส่งผลให้คนไทยอ้วนติดอันดับ 5 ของแถบเอเชียแปซิฟิก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 ล้านคนต่อไป โดยมีอัตราการเสียชีวิตสืบเนื่องจากโรคอ้วนลงพุงประมาณ 2 หมื่นคนต่อปี
แต่ถึงแม้จะอันตรายขนาดนี้ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าโรคอ้วนลงพุงเป็นอย่างไร และเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ได้อย่างไร คำตอบก็คือ โรคอ้วนลงพุงนั้นหมายถึง ภาวะที่มีไขมันสะสมในช่องท้อง หรืออวัยวะในช่องท้องมากเกินควร
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเริ่มเข้าสู่ภาวะอ้วนลงพุงแล้ว?
หลักง่ายๆ ก็คือ แค่วัดเส้นรอบพุง (ผ่านสะดือ) ถ้าเกินไปกว่า ส่วนสูงหารสอง คุณก็ตกอยู่ในภาวะอ้วนลงพุง ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสูง 160 ซม.เส้นรอบพุงของคุณจะต้องไม่เกิน 80 ซม.ถ้าเกินกว่านั้น ถือว่าอ้วนลงพุง
ตามข้อมูลจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งร่วมมือกับเครือข่ายเสียงประชาชนและนักวิชาการอิสระจากสถาบันชั้นนำ คลอดแคมเปญ “ลดพุง ลดโรค” เมื่อเร็วๆ นี้ และได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากจากประชาชนคนไทย ให้ความรู้เกี่ยวกับการลดพุงลดโรคไว้สองหลักใหญ่ๆ คือ การรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย
อันดับแรกสุด มื้อเช้าอย่าให้ขาด เพราะอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่กินอาหารเช้า น้ำตาลในเลือดจะต่ำลง สมองจึงสั่งให้กินมื้อกลางวันและมื้อเย็น ชดเชยปริมาณมากกว่าปกติ จึงมีโอกาสอ้วนลงพุงได้ง่าย ส่วนเรื่องอาหารก็ควรลดของทอด ของผัด อันอาจก่อให้เกิดการสะสมไขมันในร่างกาย และสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การดื่มน้ำเปล่านั้นดีที่สุด แต่ถ้าอยากดื่มน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ กาแฟ ชานม มีคำแนะนำว่า ปริมาณน้ำตาลนอกมื้ออาหาร ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
คุณเชื่อไหมว่า การขยับร่างกายบ่อยๆ ช่วยลดพุงลดโรคได้ วิธีปฏิบัติก็ง่ายๆ ก็คือ ลองเดินเร็วสัก 10 นาทีแล้วพูดประโยค 15 พยางค์ เพื่อเช็กระดับความฟิตของร่างกาย ถ้าคุณพูดได้ดี หายใจปกติ ความฟิตของคุณอยู่ในขั้นดี ถ้าพอพูดได้แต่หายใจแรงขึ้น ความฟิตของคุณยังปกติ แต่หากพูดไม่ได้ในเงื่อนไขที่กำหนดแล้วมีการหายใจหอบ แสดงว่าความฟิตของคุณเริ่มอ่อนแอแล้ว คำแนะนำก็คือ คุณควรอกกกำลังด้วยการเดินเร็วอย่างน้อย 30 นาที/วัน (อาจแบ่งครั้งละ 10 นาที) อย่างน้อย 5วัน/สัปดาห์ หรือถ้าต้องการลดน้ำหนัก ควรเดินเร็วประมาณ 45-60 นาที/วัน
แต่ในระหว่างวัน คุณสามารถออกกำลังด้วยการแกว่งแขน ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของไขมัน ลดความดันโลหิตสูง และยังช่วยลดความเครียด ลดอาการปวดบ่า คอ ไหล่ จากการทำงานได้อีกด้วย วิธีการง่ายๆ คือ ยืนแยกเท้าให้มีระยะห่าง 1 ช่วงไหล่ ออกแรงแกว่งแขนไปด้านหลังแล้วปล่อยให้เหวี่ยงกลับมา
ทำให้ได้อย่างนี้เป็นประจำ คำว่า “อ้วนลงพุง” ก็ยากที่จะมาคุกคามคุณได้แล้วล่ะ
ขอบคุณข้อมูล : รายการ “Health Line สายตรงสุขภาพ” รายการที่สร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 7.00-8.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ www.manager.co.th/vdo
แต่ถึงแม้จะอันตรายขนาดนี้ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าโรคอ้วนลงพุงเป็นอย่างไร และเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ได้อย่างไร คำตอบก็คือ โรคอ้วนลงพุงนั้นหมายถึง ภาวะที่มีไขมันสะสมในช่องท้อง หรืออวัยวะในช่องท้องมากเกินควร
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเริ่มเข้าสู่ภาวะอ้วนลงพุงแล้ว?
หลักง่ายๆ ก็คือ แค่วัดเส้นรอบพุง (ผ่านสะดือ) ถ้าเกินไปกว่า ส่วนสูงหารสอง คุณก็ตกอยู่ในภาวะอ้วนลงพุง ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสูง 160 ซม.เส้นรอบพุงของคุณจะต้องไม่เกิน 80 ซม.ถ้าเกินกว่านั้น ถือว่าอ้วนลงพุง
ตามข้อมูลจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งร่วมมือกับเครือข่ายเสียงประชาชนและนักวิชาการอิสระจากสถาบันชั้นนำ คลอดแคมเปญ “ลดพุง ลดโรค” เมื่อเร็วๆ นี้ และได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากจากประชาชนคนไทย ให้ความรู้เกี่ยวกับการลดพุงลดโรคไว้สองหลักใหญ่ๆ คือ การรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย
อันดับแรกสุด มื้อเช้าอย่าให้ขาด เพราะอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่กินอาหารเช้า น้ำตาลในเลือดจะต่ำลง สมองจึงสั่งให้กินมื้อกลางวันและมื้อเย็น ชดเชยปริมาณมากกว่าปกติ จึงมีโอกาสอ้วนลงพุงได้ง่าย ส่วนเรื่องอาหารก็ควรลดของทอด ของผัด อันอาจก่อให้เกิดการสะสมไขมันในร่างกาย และสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การดื่มน้ำเปล่านั้นดีที่สุด แต่ถ้าอยากดื่มน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ กาแฟ ชานม มีคำแนะนำว่า ปริมาณน้ำตาลนอกมื้ออาหาร ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
คุณเชื่อไหมว่า การขยับร่างกายบ่อยๆ ช่วยลดพุงลดโรคได้ วิธีปฏิบัติก็ง่ายๆ ก็คือ ลองเดินเร็วสัก 10 นาทีแล้วพูดประโยค 15 พยางค์ เพื่อเช็กระดับความฟิตของร่างกาย ถ้าคุณพูดได้ดี หายใจปกติ ความฟิตของคุณอยู่ในขั้นดี ถ้าพอพูดได้แต่หายใจแรงขึ้น ความฟิตของคุณยังปกติ แต่หากพูดไม่ได้ในเงื่อนไขที่กำหนดแล้วมีการหายใจหอบ แสดงว่าความฟิตของคุณเริ่มอ่อนแอแล้ว คำแนะนำก็คือ คุณควรอกกกำลังด้วยการเดินเร็วอย่างน้อย 30 นาที/วัน (อาจแบ่งครั้งละ 10 นาที) อย่างน้อย 5วัน/สัปดาห์ หรือถ้าต้องการลดน้ำหนัก ควรเดินเร็วประมาณ 45-60 นาที/วัน
แต่ในระหว่างวัน คุณสามารถออกกำลังด้วยการแกว่งแขน ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของไขมัน ลดความดันโลหิตสูง และยังช่วยลดความเครียด ลดอาการปวดบ่า คอ ไหล่ จากการทำงานได้อีกด้วย วิธีการง่ายๆ คือ ยืนแยกเท้าให้มีระยะห่าง 1 ช่วงไหล่ ออกแรงแกว่งแขนไปด้านหลังแล้วปล่อยให้เหวี่ยงกลับมา
ทำให้ได้อย่างนี้เป็นประจำ คำว่า “อ้วนลงพุง” ก็ยากที่จะมาคุกคามคุณได้แล้วล่ะ
ขอบคุณข้อมูล : รายการ “Health Line สายตรงสุขภาพ” รายการที่สร้างภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 7.00-8.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ www.manager.co.th/vdo