สธ.จับตาไข้หวัดใหญ่ระบาดหนักในสหรัฐฯ เล็งสั่งวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับใช้ปี 56 เร็วขึ้น หากสถานการณ์ยังรุนแรง เร่งฉีดไวขึ้นจาก มิ.ย.เป็น พ.ค.ตั้งเป้าครอบคลุมกลุ่มเสี่ยง 100% ไม่จำกัด 3-4 ล้านโดส
วันนี้ (15 ม.ค.) นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงการเตรียมการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ว่า ขณะนี้ สธ.มีการติดตามการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ชนิด เอ สายพันธุ์ เอช3เอ็น2 (H3N2) วิคตอเรีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 เดือน สธ.จะพิจารณาสั่งนำเข้าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่จะใช้ในปี 2556 เร็วขึ้น โดยวัคซีนดังกล่าวเป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่จากเชื้อได้ 3 สายพันธุ์ คือ ชนิดบี, H1N1 และ H3N2 วิคตอเรีย ที่เป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ระบาดอยู่ในสหรัฐอเมริกา
“หากสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐอเมริกายังแรงอยู่ อาจต้องสั่งนำเข้าวัคซีนไข้หวัดใหญ่เร็วขึ้น เพราะเมื่อสั่งไปแล้วไม่ได้หมายความว่าจะได้ในทันที ต้องมีระยะเวลาของการรอวัคซีนด้วย นอกจากนี้ จะฉีดให้กับประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเร็วขึ้น จากที่เริ่มฉีด มิ.ย.ก็เลื่อนเร็วขึ้นเป็น พ.ค.โดยการฉีดจะต้องคิดใหม่ ต้องฉีดให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงครบ 100% ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่ 3-4 ล้านโดสเท่านั้น” รมว.สาธารณสุข กล่าว
สำหรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เมื่อปี 2555 สธ.ได้ฉีดให้ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ดังนี้ 1.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง มะเร็งที่กำลังรับเคมีบำบัด เบาหวาน ธาลัสซีเมีย และภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ 2.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 3.ผู้ มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม 4.ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ 5.เด็กอายุ 6 เดือน-2 ปี 6.หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป และ7.บุคลากรทางการแพทย์เจ้าหน้าที่ที่ให้การดูแลรักษาผู้เจ็บป่วย และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสัตว์ปีก จำนวน 3.55 ล้านคน ใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งขยายกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากปี 2554 จำนวน 1 ล้านคน โดยเป็นวัคซีน 3 สายพันธุ์เช่นเดียวกับที่จะใช้ในปีนี้ แต่ในส่วนของเชื้อ H3N2 จะเป็นสายพันธุ์ย่อยเพิร์ธ ขณะที่ปี 2556 เป็นวิคตอเรีย
วันนี้ (15 ม.ค.) นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงการเตรียมการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ว่า ขณะนี้ สธ.มีการติดตามการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ชนิด เอ สายพันธุ์ เอช3เอ็น2 (H3N2) วิคตอเรีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 เดือน สธ.จะพิจารณาสั่งนำเข้าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่จะใช้ในปี 2556 เร็วขึ้น โดยวัคซีนดังกล่าวเป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่จากเชื้อได้ 3 สายพันธุ์ คือ ชนิดบี, H1N1 และ H3N2 วิคตอเรีย ที่เป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ระบาดอยู่ในสหรัฐอเมริกา
“หากสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐอเมริกายังแรงอยู่ อาจต้องสั่งนำเข้าวัคซีนไข้หวัดใหญ่เร็วขึ้น เพราะเมื่อสั่งไปแล้วไม่ได้หมายความว่าจะได้ในทันที ต้องมีระยะเวลาของการรอวัคซีนด้วย นอกจากนี้ จะฉีดให้กับประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเร็วขึ้น จากที่เริ่มฉีด มิ.ย.ก็เลื่อนเร็วขึ้นเป็น พ.ค.โดยการฉีดจะต้องคิดใหม่ ต้องฉีดให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงครบ 100% ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่ 3-4 ล้านโดสเท่านั้น” รมว.สาธารณสุข กล่าว
สำหรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เมื่อปี 2555 สธ.ได้ฉีดให้ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ดังนี้ 1.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง มะเร็งที่กำลังรับเคมีบำบัด เบาหวาน ธาลัสซีเมีย และภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ 2.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 3.ผู้ มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม 4.ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ 5.เด็กอายุ 6 เดือน-2 ปี 6.หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป และ7.บุคลากรทางการแพทย์เจ้าหน้าที่ที่ให้การดูแลรักษาผู้เจ็บป่วย และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสัตว์ปีก จำนวน 3.55 ล้านคน ใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งขยายกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากปี 2554 จำนวน 1 ล้านคน โดยเป็นวัคซีน 3 สายพันธุ์เช่นเดียวกับที่จะใช้ในปีนี้ แต่ในส่วนของเชื้อ H3N2 จะเป็นสายพันธุ์ย่อยเพิร์ธ ขณะที่ปี 2556 เป็นวิคตอเรีย
