xs
xsm
sm
md
lg

แนะอาเซียนออกมาตรการร่วม สกัดอาหารไร้ประโยชน์คุกคามสุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นักวิชาการอังกฤษ เผย ประสบการณ์แดนผู้ดีเป็นโรคอ้วน 2 ใน 3 ของประชากร ส่วน 1 ใน 4 ป่วยโรคเบาหวาน เตือนประเทศกำลังพัฒนาเป็นเป้าหมายใหม่ของอุตสาหกรรมอาหาร “วิสิฐ” แนะเตรียมความพร้อมรับมือเปิดอาเซียน สร้างฐานข้อมูลอาหารในแต่ละประเทศ เพิ่มอำนาจต่อรอง คุมอาหารไร้ประโยชน์

วันนี้ (15 ม.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่โรงแรมชาเทรียมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ นพ.ภูษิต ประคองสาย ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กล่าวเปิดการประชุมประจำปีครั้งที่ 1 เรื่อง “การจัดการปัญหาพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน : ประเทศไทยพร้อมหรือยัง” จัดโดย สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) แผนงานวิจัยอาหารและโภชนาการเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ (FHP) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า ช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา คนไทยมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป โดยนิยมบริโภคอาหารประเภทเนื้อสัตว์มากกว่าข้าว รวมถึงอาหารที่มีน้ำตาลและเกลือสูงขึ้น ซึ่งการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 นั้น หลายฝ่ายกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการบริโภคของคนไทย จึงจำเป็นต้องสร้างความร่วมมือ เพื่อให้มีการจัดการปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในด้านโภชนาการร่วมกัน การประชุมนี้จึงถือเป็นการเชื่อมภาครัฐ องค์กรอิสระ ธุรกิจ และนักวิชาการ เพื่อหารือแนวทางรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

นายเดวิด สตัคเลอร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า จากประสบการณ์ของประเทศอังกฤษ ซึ่งประสบปัญหาโภชนาการเกิน พบว่า ในช่วงก่อนหน้าที่จะมีมาตรการป้องกันสุขภาพของประชาชน ประชากรวัยผู้ใหญ่ 2 ใน 3 อ้วนและป่วยด้วยโรคเบาหวาน และ 1 ใน 4 ตายก่อนวัย 65 ปี เนื่องจากสาเหตุทุพโภชนาการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขทั้งระบบ โดยประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากบทเรียนที่ผิดพลาดนั้นได้ เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ซึ่งจะต้องพบความท้าทายจากอุตสาหกรรมอาหารอย่างมาก โดยเปรียบเทียบได้กับการอุตสาหกรรมบุหรี่ หรือน้ำอัดลม ที่มักใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อขยายตลาด เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนาถือเป็นตลาดที่สำคัญในการขยายตลาดที่สำคัญ

การวิจัยทำให้พบว่า ประเทศใดที่มีประชากรสูบบุหรี่มากก็จะพบประชากรดื่มเหล้ามาก และประเทศใดมีประชากรดื่มน้ำอัดลมมาก ก็จะพบประชากรอ้วนมากขึ้น ซึ่งการเปิดการค้าเสรีจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการบริโภคได้ด้วย เช่น พบว่าประเทศเม็กซิโก ดื่มน้ำอัดลม 250 ลิตรต่อคนต่อปี และมีอัตราการดื่มรองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อเปิดการค้าเสรีพบการดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 40-50 ทำให้มีอัตราเด็กอ้วนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นต้น ดังนั้น การวางแผนนโยบายเพื่อป้องกันเรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญ” นายเดวิด กล่าว

ด้าน รศ.ดร.วิสิฐ จะวะสิต ผู้อำนวยการสถานบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การเปิดเออีซีควรมีมาตรการป้องกันร่วมกันในเรื่องความปลอดภัยของอาหาร และสร้างมาตรฐานโภชนาการเหมาะสมร่วมกัน เพื่อให้เกิดความเข็มแข็งและสร้างอำนาจการต่อรอง โดยอาจสร้างฐานข้อมูลทางอาหารในประเทศอาเซียน อาทิ สร้างค่ามาตรฐานไอโอดีน ค่าโซเดียม ค่าไขมันอิ่มตัว เป็นต้น เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการเก็บข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์ของแต่ละประเทศมีค่าโภชนาการอาหารแต่ละประเภทอย่างไร แม้ว่าภายในกลุ่มประเทศอาเซียนจะมีความแตกต่างของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จากประเทศที่สูงและต่ำที่สุดถึง 50 เท่า แต่มีแนวโน้มของประชากรคล้ายกันคือ ประชากรสูงอายุมากขึ้น ประชากรวัยแรงงานต่ำลง จึงมีความจำเป็นต้องสร้างความร่วมมือและทำให้เกิดความเข้มแข็งในการรวมตัว

ปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคของคนไทยเปลี่ยนแปลงเป็นแนวโน้มเดียวกับประเทศต่างๆ ในโลกที่ถูกกระแสทุนนิยมเข้ามาแทนที่ จากการกินอาหารไทยซึ่งมีความสมดุลทางโภชนาการ เป็นการกินอาหารทอด หวาน มัน เค็ม เพิ่มขึ้น ดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ จำนวนมาก ประกอบการการมีกิจกรรมทางกายลดลงทำให้เกิดปัญหาโภชนาการเกิน ทั้งนี้ ปัจจุบันมีบางประเทศเริ่มเก็บภาษีตามคุณค่าของอาหาร เช่น หากมีเกลือ ไขมันอิ่มตัว น้ำตาล มากกว่าค่ามาตรฐานก็จะต้องเสียภาษีมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการจำกัดอัตราโภชนาการเกินอีกทาง” รศ.ดร.วิสิฐ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น