กรมวิทย์ เพิ่งตื่น ตรวจสมุนไพร “ไคร้เครือ” หาสาร aristolochic acid หลังต่างชาติวิจัยพบเป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้ไตวาย เผย คกก.พัฒนาระบบยาแห่งชาติประกาศตัดไคร้เครือออกจากตำรับยาแผนไทยในบัญชียาหลักฯแล้ว 10 ตำรับ เตือน ปชช.ระวังการใช้สมุนไพรดังกล่าว
นพ.นิพนธ์ โพธิพัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากรายงานผลการศึกษาทางพิษวิทยาของสมุนไพรไคร้เครือ (ชื่อวิทยาศาสตร์ “Aristolochia sp.”) พบว่า มีสาร aristolochic acid ซึ่งส่งผลต่อหนูที่ตั้งท้องทำให้มดลูกผิดปกติและแท้ง นอกจากนี้ จากการศึกษางานวิจัยทางคลินิกในต่างประเทศ พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับสมุนไพรที่มีสารดังกล่าว พบอาการเป็นพิษต่อไต โดยตรวจพบสาร aristolactams และ AA-DNA adducts อื่นๆ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและทำให้เกิดอาการไตวายในผู้ป่วย
นพ.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า เมื่อปี 2545 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้พืชสกุล Aristolochia เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ เนื่องจากในหลายประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส โอมาน และสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศระงับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรที่มี aristolochic acid ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายโดยทำให้เกิดไตวายและเป็นมะเร็งทางเดินปัสสาวะ ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติจึงได้มีประกาศตัดสมุนไพรไคร้เครือ ซึ่งเป็นเครื่องยาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ใช้กันมากในตำรับยาไทย โดยเฉพาะตำรับยาแก้ไข้ แก้อักเสบ และคลายกล้ามเนื้อ ออกจากตำรับยาแผนไทยในบัญชียาหลักแห่งชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2554 จำนวน 10 ตำรับ จาก 28 ตำรับ ได้แก่ ยาหอมนวโกฐ ยาหอมแก้ลมวิงเวียน ยาหอมอินทจักร์ ยาธาตุบรรจบ ยาประสะการพลู ยาประสะเจตพังคี ยามัมทธาตุ ยาวิสัมพยาใหญ่ ยาเขียวหอม ยาอำมฤควาที เนื่องจากมีข้อมูลงานวิจัยบ่งชี้ว่าไคร้เครือที่ใช้และมีการจำหน่ายในท้องตลาด เป็นพืชในสกุล Aristolochia
ด้าน นางณุฉัตรา จันทร์สุวานิชย์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสมุนไพร กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2555 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทำการวิจัยศึกษาความเป็นพิษของสมุนไพรไคร้เครือ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากร้านขายยาสมุนไพรในกรุงเทพฯ นครปฐม สกลนคร เชียงใหม่ และราชบุรี จำนวน 10 ตัวอย่าง มาตรวจวิเคราะห์ทางเคมีด้วยวิธี “โครมาโทกราฟีผิวบาง” พบว่า ทุกตัวอย่างมีสาร aristolochic acid และเมื่อใช้วิธีวิเคราะห์กึ่งปริมาณโดยใช้เทคนิค “Thin-layer Chromatographic Densitometer” พบว่า สารสกัดด้วยเมทานอลจากไคร้เครือมีปริมาณสาร aristolochic acid ตั้งแต่ 0.06+0.02 จนถึง 0.28+0.02 กรัมต่อน้ำหนักของผงยาแห้ง ดังนั้น ผู้บริโภคต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรไคร้เครือที่เป็นพืชสกุล Aristolochia sp.เพราะเป็นอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ ก่อนเลือกซื้อยาสมุนไพรทุกชนิด ต้องสังเกตว่ามีทะเบียนยาถูกต้องหรือไม่ ดูวันผลิตยาและวันหมดอายุ ภาชนะบรรจุอยาในสภาพดีหรือไม่ แหล่งผลิตน่าเชื่อถือและจะต้องระบุสถานที่ผลิตยาในฉลากอย่างชัดเจน
นพ.นิพนธ์ โพธิพัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากรายงานผลการศึกษาทางพิษวิทยาของสมุนไพรไคร้เครือ (ชื่อวิทยาศาสตร์ “Aristolochia sp.”) พบว่า มีสาร aristolochic acid ซึ่งส่งผลต่อหนูที่ตั้งท้องทำให้มดลูกผิดปกติและแท้ง นอกจากนี้ จากการศึกษางานวิจัยทางคลินิกในต่างประเทศ พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับสมุนไพรที่มีสารดังกล่าว พบอาการเป็นพิษต่อไต โดยตรวจพบสาร aristolactams และ AA-DNA adducts อื่นๆ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและทำให้เกิดอาการไตวายในผู้ป่วย
นพ.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า เมื่อปี 2545 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้พืชสกุล Aristolochia เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ เนื่องจากในหลายประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส โอมาน และสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศระงับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรที่มี aristolochic acid ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายโดยทำให้เกิดไตวายและเป็นมะเร็งทางเดินปัสสาวะ ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติจึงได้มีประกาศตัดสมุนไพรไคร้เครือ ซึ่งเป็นเครื่องยาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ใช้กันมากในตำรับยาไทย โดยเฉพาะตำรับยาแก้ไข้ แก้อักเสบ และคลายกล้ามเนื้อ ออกจากตำรับยาแผนไทยในบัญชียาหลักแห่งชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2554 จำนวน 10 ตำรับ จาก 28 ตำรับ ได้แก่ ยาหอมนวโกฐ ยาหอมแก้ลมวิงเวียน ยาหอมอินทจักร์ ยาธาตุบรรจบ ยาประสะการพลู ยาประสะเจตพังคี ยามัมทธาตุ ยาวิสัมพยาใหญ่ ยาเขียวหอม ยาอำมฤควาที เนื่องจากมีข้อมูลงานวิจัยบ่งชี้ว่าไคร้เครือที่ใช้และมีการจำหน่ายในท้องตลาด เป็นพืชในสกุล Aristolochia
ด้าน นางณุฉัตรา จันทร์สุวานิชย์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสมุนไพร กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2555 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ทำการวิจัยศึกษาความเป็นพิษของสมุนไพรไคร้เครือ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากร้านขายยาสมุนไพรในกรุงเทพฯ นครปฐม สกลนคร เชียงใหม่ และราชบุรี จำนวน 10 ตัวอย่าง มาตรวจวิเคราะห์ทางเคมีด้วยวิธี “โครมาโทกราฟีผิวบาง” พบว่า ทุกตัวอย่างมีสาร aristolochic acid และเมื่อใช้วิธีวิเคราะห์กึ่งปริมาณโดยใช้เทคนิค “Thin-layer Chromatographic Densitometer” พบว่า สารสกัดด้วยเมทานอลจากไคร้เครือมีปริมาณสาร aristolochic acid ตั้งแต่ 0.06+0.02 จนถึง 0.28+0.02 กรัมต่อน้ำหนักของผงยาแห้ง ดังนั้น ผู้บริโภคต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรไคร้เครือที่เป็นพืชสกุล Aristolochia sp.เพราะเป็นอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ ก่อนเลือกซื้อยาสมุนไพรทุกชนิด ต้องสังเกตว่ามีทะเบียนยาถูกต้องหรือไม่ ดูวันผลิตยาและวันหมดอายุ ภาชนะบรรจุอยาในสภาพดีหรือไม่ แหล่งผลิตน่าเชื่อถือและจะต้องระบุสถานที่ผลิตยาในฉลากอย่างชัดเจน