โดย...สิรวุฒิ รวีไชยวัฒน์
รู้หรือไม่?...ผู้ชายก็สามารถใช้สิทธิลาคลอดได้เหมือนผู้หญิง
เนื่องจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ.2555 หมวด 2 ส่วนที่ 3 การลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ข้อ 20 ระบุว่า ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปช่วยเหลือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตร ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลาภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คลอดบุตร และให้สิทธิลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ไม่เกิน 15 วันทำการ
แต่ผู้ชายส่วนใหญ่มักไม่รู้ว่าตนมีสิทธิดังกล่าว เนื่องจากผู้ที่ยังไม่มีครอบครัวมักไม่สนใจและเป็นสิทธิของข้าราชการเท่านั้น ซึ่งข้าราชการเองก็ใช่ว่าจะรู้ถึงการมีอยู่ของสิทธินี้
ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจ “ผลกระทบและการใช้สิทธิพ่อลาคลอด” ที่นำเสนอในเวทีเสวนาขับเคลื่อนภารกิจเพื่อการใช้สิทธิพ่อลาคลอด ซึ่งจัดโดยมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย บริษัท ไทยทอปปิค จำกัด และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่ระบุว่า การรับรู้ถึงสิทธิพ่อลาหยุดเพื่อช่วยเหลือภรรยาคลอดบุตรคือร้อยละ 76.04 แต่รู้ถึงวัตถุประสงค์ของการใช้สิทธิลาหยุดแค่ร้อยละ 54.72
จึงเป็นที่มาของการรณรงค์ “พ่อจ๋า...ลาคลอดมากอดหนู” เพื่อให้คุณพ่อทั้งหลายใช้สิทธิดังกล่าวหยุดงานเพื่อช่วยเหลือภรรยาเลี้ยงดูบุตรหลังคลอด ซึ่งนายจะเด็จ เชาวน์วิไล มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ในฐานะคุณพ่อคนหนึ่ง เปิดเผยว่า บทบาทของคุณพ่อเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากช่วงหลังคลอดสุขภาพของคุณแม่จะยังไม่เข้าที่ จึงจำเป็นต้องมีผู้ช่วย ซึ่งคุณพ่อจะสามารถช่วยลดภาวะซึมเศร้าให้แม่หลังคลอดได้ ช่วยให้นมแม่ไหลออกมาได้ดี ช่วยเพิ่มความรักความผูกพันพ่อลูก หมดปัญหาพี่เลี้ยงเด็ก และเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ลูก
“แต่ผู้ชายส่วนมากมักอายหากต้องทำในเรื่องดังกล่าว ตรงนี้ต้องมีการปรับทัศนคติใหม่ สร้างค่านิยมแฟมิลีแมนว่า ผู้ชายดูแลลูกและครอบครัวเป็นผู้ชายที่เท่และแมน สมควรแก่การยกย่องทำตาม และต้องรณรงค์ให้สังคมเข้าใจในสิทธิดังกล่าวด้วย เพราะช่วง 15 วันแรกหลังคลอดถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด”
ด้าน ผศ.ปารีณา ศรีวณิชย์ ผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะคุณแม่คนหนึ่ง กล่าวสนับสนุนว่า 15 วันแรกหลังคลอดนั้นสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่ยากลำบาก เนื่องจากสุขภาพร่างกายยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ การมีสามีมาช่วยเลี้ยงลูกนั้นจะช่วยแบ่งเบาภาระงานบ้านต่างๆ ได้ ช่วยให้ผู้หญิงเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สำเร็จ เพราะมีความอุ่นใจสุขใจเมื่อมีสามีมาช่วยอยู่ใกล้ๆ ดังนั้น จึงควรมีการรณรงค์ให้สังคมเห็นถึงความสำคัญของการใช้สิทธิพ่อลาคลอด โดยเฉพาะหัวหน้างานเพราะหากไม่มีความเข้าใจก็จะทำให้ไม่ได้รับการอนุมัติลางาน ที่สำคัญควรขยายสิทธิเพิ่มเป็น 30 วัน เพราะสุขภาพคุณแม่จะฟื้นอย่างเต็มที่หลังพ้น 1 เดือนไปแล้ว ซึ่งตรงนี้หวังว่าจะมีการแก้ไขต่อไป
ส่วนจะครอบคลุมไปถึงพนักงานของรัฐ ภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจหรือไม่นั้น นายสมชาย เจริญอำนวยสุข ผอ.สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กล่าวว่า ความจริงมีผู้ชายจำนวนมากอยากลางานไปช่วยภรรยาเลี้ยงดูลูกที่เพิ่งคลอด แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากไม่มีการเปิดโอกาส ทั้งที่ต่างประเทศมีการให้สิทธิแล้ว อาทิ โปแลนด์ลาได้ 14 วัน นอร์เวย์ 10 สัปดาห์ ออสเตรียมากสุดถึง 3 ปี แม้ไทยจะมีการให้ใช้สิทธิ แต่ก็เป็นสิทธิของข้าราชการภายใต้เงื่อนไขลูกที่คลอดจากภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น จึงมีผลกระทบต่อกลุ่มที่ไม่ได้จดทะเบียน และกลุ่มพนักงานของรัฐ เอกชน และรัฐวิสาหกิจ
“ล่าสุด สค.ได้เสนอให้กลุ่มดังกล่าวสามารถใช้สิทธิลาคลอดได้เหมือนข้าราชการต่อที่ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พัฒนาสตรีแห่งชาติแล้ว ซึ่งที่ประชุมฯเห็นชอบต่อข้อเสนอดังกล่าว เหลือเพียงการประกาศเพื่อบังคับใช้เท่านั้น คาดว่า ก.แรงงานจะสามารถประกาศเป็นกฎกระทรวงได้ภายในปีหน้า”
นับเป็นเรื่องดีหากว่าที่คุณพ่อจะสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ แต่ในภาคเอกชนจะมีความเข้าใจสิทธิมากน้อยเพียงใด คงต้องอาศัย ก.แรงงาน ในการรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งแว่วว่ามีหลายบริษัทตอบรับการให้สิทธิดังกล่าวแล้ว หวังปีหน้าคงได้เห็นคุณพ่อใช้สิทธิดังกล่าวลางานไปทำหน้าที่ของ “สุภาพบุรุษ” อย่างเต็มที่เสียที