ร้านค้าโวย! ส่งหนังสือร้องถึง “พงศ์เทพ” เหตุโปรโมชันงานมหกรรมกระตุ้นยอดขายหนังสือเรียน ซื้อเกินพันล้านได้ลด 5% กลุ่มร้านค้าหัวใสรวมตัวกันซื้อ แต่จนป่านนี้ยังไร้สินค้าส่งถึงมือ ด้าน รมว.ศึกษาฯ มอบ “พนิตา” ดำเนินการ สั่งตั้ง กก.ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ขณะที่ สหภาพแรงงานฯ ทำหนังสือถึงดีเอสไอ และบอร์ด สกสค.ขอตรวจสอบเรื่องเดียวกัน ชี้ ลดกระหน่ำ 33% แต่ทำองค์การค้าฯขาดทุน 8%
แหล่งข่าวจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ทางสหภาพแรงงานองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ สกสค.ขอให้ตรวจสอบกรณีที่ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา อดีต รักษาผอ.องค์การค้า สกสค.ได้มีนโยบายให้ส่วนลด เพิ่มเติม 5% กับการสั่งซื้อหนังสือเรียนมูลค่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไปในงานมหกรรมกระตุ้นยอดขาย โดยร้านค้าจะต้องชำระเงินทั้งหมดให้กับองค์การค้า สกสค.ก่อน มาตรการนี้เปิดช่องให้ร้านค้ารวมตัวกันสั่งซื้อหนังสือเรียนเพื่อหวังส่วนลดเพิ่มเติม 5% ซึ่งทำให้องค์การค้า สกสค.ได้รับความเสียหาย
โดยปกติ องค์การค้าฯ จะมีส่วนลดให้กับร้านค้าอยู่แล้ว 25% แต่ถ้าซื้อในงานมหกรรมกระตุ้นยอดขายดังกล่าวจะมีส่วนลดเพิ่มเติมให้อีกถ้าซื้อภายในวันที่กำหนดครั้งละ 1% รวม 3 วันเท่ากับ 3% และถ้าสั่งซื้อเกิน 1,000 ล้านบาท จะมีส่วนลดเพิ่มให้อีก 5% รวมทั้งหมดจะได้ส่วนลดถึง 33% จนทำให้เกิดกรณีร้านค้าใหญ่รวมตัวสั่งซื้อหนังสือเพื่อให้ได้ส่วนลดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณต้นทุนแล้วการให้ส่วนลดถึง 33% จะทำให้องค์การค้าฯ ขาดทุนถึง 8% หรือขาดทุนประมาณ 80 ล้านบาทต่อยอดสั่งหนังสือเรียน 1,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้น มาตรการดังกล่าวยิ่งทำให้องค์การค้าฯ ขาดทุนมากขึ้นไปอีก ขณะที่ นายสมมาตร มีศิลป์ ผอ.องค์การค้าฯ คนใหม่ ถือว่าไม่ใช่นโยบายตนเองจึงไม่เร่งรัดการจัดส่งหนังสือให้ตามสัญญา จึงทำให้เกิดปัญหาตามมา เพราะ 2 ใน 5 ร้านค้าดังกล่าวจ่ายเงินให้องค์การค้าฯ เรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่ได้หนังสือ จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนมายัง สกสค.และ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ได้สั่งการ นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ.ในฐานะประธานบอร์ด สกสค.ไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ดังนั้น ปลัด ศธ.จึงได้นำเรื่องหารือในบอร์ด สกสค.เมื่อเร็วๆ นี้ และบอร์ดมีมติให้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้น มี นายชวลิตร สันถวะโกมล กรรมการ สกสค.ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายเป็นประธานและให้นำมารายงานผลในการประชุมครั้งหน้า
“ความจริงแล้ว ปลัด ศธ.ได้เสนอให้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เลย เพราะมีข้อมูลที่ชัดเจนแล้วแต่เสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมไม่เห็นด้วย ขอให้ตั้งแค่กรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนและค่อยดำเนินการไปตามขั้นตอน หากพบว่ามีมูลค่อยตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงต่อไป” แหล่งข่าว ศธ.กล่าว
ด้าน นางพนิตา กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ด สกสค.เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมได้ให้ ผอ.องค์การค้าฯ ไปปรับปรุงรายละเอียดเอกสารเรื่องธุรกิจแฟรนไชส์ใหม่ เนื่องจากเอกสารที่นำเสนอในที่ประชุมไม่เหมือนกับที่ ผอ.องค์การค้าฯ เคยนำเสนอไว้ ซึ่งเอกสารที่นำเสนอกลายเป็นว่าองค์การค้าฯ ต้องทำทุกอย่างให้ผู้มาขอแฟรนไชส์ทั้งหมด ไม่ว่าจะออกแบบร้านค้า จัดตั้งชั้น อบรมคน เป็นต้น ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้มาขอแฟรนไชส์จะต้องจ่ายให้ผู้ขาย ซึ่งก็คือ องค์การค้าฯ แต่กลายเป็นว่าเอกสารที่นำเสนอไม่ได้ ทำให้เห็นว่า องค์การค้าฯ จะได้เงินจากการขายแฟรนไชส์
“ขณะนี้มีโรงเรียน และร้านค้าที่เป็นผู้ค้าขององค์การค้าฯจำนวน 96 แห่ง ที่สนใจเป็นแฟรนไชส์ แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะเอกสารที่นำเสนอที่ประชุมนั้นต้องนำไปปรับใหม่ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่ายึดตามเอกสารการประชุมเป็นหลัก คือ มีส่วนลด 25% ของกำไร และจากการขายหนังสือ 40% เป็นของโรงเรียน อีก 40% เป็นของแฟรนไชส์ และ 20% เป็นค่าการตลาด ซึ่งในส่วนลด 25% ของกำไร องค์การค้าฯไม่ได้อะไรเลย ทั้งที่ความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ที่องค์การจะไม่ได้กำไร เพราะถ้าไม่ได้กำไร แล้วจะไปลงทุนให้เหนื่อยทำไม” นางพนิตา กล่าว
แหล่งข่าวจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ทางสหภาพแรงงานองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ สกสค.ขอให้ตรวจสอบกรณีที่ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา อดีต รักษาผอ.องค์การค้า สกสค.ได้มีนโยบายให้ส่วนลด เพิ่มเติม 5% กับการสั่งซื้อหนังสือเรียนมูลค่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไปในงานมหกรรมกระตุ้นยอดขาย โดยร้านค้าจะต้องชำระเงินทั้งหมดให้กับองค์การค้า สกสค.ก่อน มาตรการนี้เปิดช่องให้ร้านค้ารวมตัวกันสั่งซื้อหนังสือเรียนเพื่อหวังส่วนลดเพิ่มเติม 5% ซึ่งทำให้องค์การค้า สกสค.ได้รับความเสียหาย
โดยปกติ องค์การค้าฯ จะมีส่วนลดให้กับร้านค้าอยู่แล้ว 25% แต่ถ้าซื้อในงานมหกรรมกระตุ้นยอดขายดังกล่าวจะมีส่วนลดเพิ่มเติมให้อีกถ้าซื้อภายในวันที่กำหนดครั้งละ 1% รวม 3 วันเท่ากับ 3% และถ้าสั่งซื้อเกิน 1,000 ล้านบาท จะมีส่วนลดเพิ่มให้อีก 5% รวมทั้งหมดจะได้ส่วนลดถึง 33% จนทำให้เกิดกรณีร้านค้าใหญ่รวมตัวสั่งซื้อหนังสือเพื่อให้ได้ส่วนลดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณต้นทุนแล้วการให้ส่วนลดถึง 33% จะทำให้องค์การค้าฯ ขาดทุนถึง 8% หรือขาดทุนประมาณ 80 ล้านบาทต่อยอดสั่งหนังสือเรียน 1,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้น มาตรการดังกล่าวยิ่งทำให้องค์การค้าฯ ขาดทุนมากขึ้นไปอีก ขณะที่ นายสมมาตร มีศิลป์ ผอ.องค์การค้าฯ คนใหม่ ถือว่าไม่ใช่นโยบายตนเองจึงไม่เร่งรัดการจัดส่งหนังสือให้ตามสัญญา จึงทำให้เกิดปัญหาตามมา เพราะ 2 ใน 5 ร้านค้าดังกล่าวจ่ายเงินให้องค์การค้าฯ เรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่ได้หนังสือ จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนมายัง สกสค.และ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ได้สั่งการ นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ.ในฐานะประธานบอร์ด สกสค.ไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ดังนั้น ปลัด ศธ.จึงได้นำเรื่องหารือในบอร์ด สกสค.เมื่อเร็วๆ นี้ และบอร์ดมีมติให้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้น มี นายชวลิตร สันถวะโกมล กรรมการ สกสค.ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายเป็นประธานและให้นำมารายงานผลในการประชุมครั้งหน้า
“ความจริงแล้ว ปลัด ศธ.ได้เสนอให้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เลย เพราะมีข้อมูลที่ชัดเจนแล้วแต่เสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมไม่เห็นด้วย ขอให้ตั้งแค่กรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนและค่อยดำเนินการไปตามขั้นตอน หากพบว่ามีมูลค่อยตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงต่อไป” แหล่งข่าว ศธ.กล่าว
ด้าน นางพนิตา กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ด สกสค.เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมได้ให้ ผอ.องค์การค้าฯ ไปปรับปรุงรายละเอียดเอกสารเรื่องธุรกิจแฟรนไชส์ใหม่ เนื่องจากเอกสารที่นำเสนอในที่ประชุมไม่เหมือนกับที่ ผอ.องค์การค้าฯ เคยนำเสนอไว้ ซึ่งเอกสารที่นำเสนอกลายเป็นว่าองค์การค้าฯ ต้องทำทุกอย่างให้ผู้มาขอแฟรนไชส์ทั้งหมด ไม่ว่าจะออกแบบร้านค้า จัดตั้งชั้น อบรมคน เป็นต้น ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้มาขอแฟรนไชส์จะต้องจ่ายให้ผู้ขาย ซึ่งก็คือ องค์การค้าฯ แต่กลายเป็นว่าเอกสารที่นำเสนอไม่ได้ ทำให้เห็นว่า องค์การค้าฯ จะได้เงินจากการขายแฟรนไชส์
“ขณะนี้มีโรงเรียน และร้านค้าที่เป็นผู้ค้าขององค์การค้าฯจำนวน 96 แห่ง ที่สนใจเป็นแฟรนไชส์ แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะเอกสารที่นำเสนอที่ประชุมนั้นต้องนำไปปรับใหม่ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่ายึดตามเอกสารการประชุมเป็นหลัก คือ มีส่วนลด 25% ของกำไร และจากการขายหนังสือ 40% เป็นของโรงเรียน อีก 40% เป็นของแฟรนไชส์ และ 20% เป็นค่าการตลาด ซึ่งในส่วนลด 25% ของกำไร องค์การค้าฯไม่ได้อะไรเลย ทั้งที่ความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ที่องค์การจะไม่ได้กำไร เพราะถ้าไม่ได้กำไร แล้วจะไปลงทุนให้เหนื่อยทำไม” นางพนิตา กล่าว