สธ.เตรียมเดินหน้าพัฒนาระบบฐานข้อมูลสุขภาพของประเทศ จ่อดึงข้อมูลจาก สปสช.และกรมบัญชีกลางมาคุมเองแบบเบ็ดเสร็จให้เป็นฐานข้อมูลเดียว ง่ายต่อการบริการให้ประชาชน “หมอณรงค์” เผย อยู่ในขั้นตอนคุยรายละเอียดและออกแบบระบบฐานข้อมูล เล็งตั้ง สปสช.คุมบังเหียนใหญ่
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบสื่อสารด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงติดต่อกันในทุกระดับ (Health Information System and Network) ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขของ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่า ในอนาคตจะมีการปรับโครงสร้างให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านข้อมูลทางด้านสุขภาพของประเทศ (National Health Information) โดยเป็นการรวมระบบข้อมูลสุขภาพจากหน่วยงานต่างๆ ทั้ง สธ. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการให้บริการของ 3 กองทุนสุขภาพ รวมไปถึงระบบข้อมูลของกรมบัญชีกลางด้วย แม้ล่าสุดจะได้มีการชะลอการบังคับใช้ประกาศกรมบัญชีกลาง เรื่องการให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังสิทธิสวัสดิการข้าราชการต้องลงทะเบียน 1 โรงพยาบาล ต่อ 1 โรคเรื้อรัง หรือ 1 โรงพยาบาล ต่อทุกโรคเรื้อรัง ภายในวันที่ 30 พ.ย.2555 ออกไปอย่างไม่มีกำหนดแล้วก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นฐานข้อมูลกลางเดียวกัน ซึ่งจะทำให้การทำงานหรือการให้บริการต่อประชาชนมีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น
“การชะลอบังคับใช้ประกาศของกรมบัญชีกลาง ไม่น่าจะเป็นเพราะเหตุผลระบบการส่งต่อผู้ป่วยและการรักษาต่อเนื่องในสถานพยาบาลใกล้บ้านยังมีข้อจำกัด รวมไปถึงระบบลงทะเบียนยังไม่มีความพร้อม เนื่องจากระบบการส่งต่อผู้ป่วยของ สธ.นั้นดีอยู่แล้ว และยิ่งไม่น่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของระบบลงทะเบียนข้อมูล แต่เป็นเพราะผู้ป่วยอาจมีการเลือกไปรับบริการจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความแออัดมากขึ้น ซึ่งตามหลักการของ สธ.แล้วผู้ป่วยโรคเรื้อรังต้องไปที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ก่อน แล้วจึงมีการส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ” ปลัด สธ.กล่าว
นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินงานพัฒนาระบบฐานข้อมูลสุขภาพนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพูดคุยในรายละเอียดอยู่ว่า จะมีการออกแบบลักษณะของระบบฐานข้อมูลอย่างไร แต่เบื้องต้นนั้นแต่ละชุดทำงาน ได้แก่ สธ. สปสช.และกรมบัญชีกลาง ต้องไปทบทวนดูบทบาท หน้าที่ของตัวเองก่อน เพื่อที่จะกำหนดเงื่อนเวลาในการดำเนินงาน และวางแผนพัฒนาในส่วนของตน เพื่อนำเสนอต่อ รมว.สาธารณสุข เป็นลำดับต่อไป อย่างไรก็ตาม คาดว่า เมื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลสุขภาพให้สามารถใช้งานได้จริงแล้ว จะให้ สปสช.เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบข้อมูลด้านสุขภาพของประเทศ
“ตอนนี้ระบบข้อมูลสุขภาพต่างๆ ถือว่าเป็นคนละข้อมูล อย่างระบบการส่งต่อผู้ป่วยของ สธ. หรือการลงทะเบียน 1 โรงพยาบาล ต่อ 1 โรคเรื้อรังของกรมบัญชีกลาง ซึ่งมีการชะลอโครงการไปแล้ว ก็ล้วนแต่เป็นคนละข้อมูล หากในอนาคตสามารถรวมข้อมูลสุขภาพทั้งหมดให้เป็นฐานข้อมูลสุขภาพของประเทศได้ ก็จะช่วยให้การทำงานและการบริการประชาชนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” ปลัด สธ.กล่าว
ทั้งนี้ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลสุขภาพของประเทศนั้น เป็นหนึ่งในเป้าหมายการปรับโครงสร้างของหน่วยงานภายในกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ 1.หน่วยงานกำหนดกฎเกณฑ์การบริหารทางด้านสุขภาพระดับชาติ (National Health Authority) ซึ่งก็คือ สธ.2.หน่วยงานบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เดิม สธ.เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ ก็ต้องมีการจัดระบบให้เป็นพื้นที่ 3.หน่วยงานที่ดูแลด้านการซื้อบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข และ 4.หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านข้อมูลสุขภาพของประเทศ
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบสื่อสารด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงติดต่อกันในทุกระดับ (Health Information System and Network) ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขของ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่า ในอนาคตจะมีการปรับโครงสร้างให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านข้อมูลทางด้านสุขภาพของประเทศ (National Health Information) โดยเป็นการรวมระบบข้อมูลสุขภาพจากหน่วยงานต่างๆ ทั้ง สธ. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการให้บริการของ 3 กองทุนสุขภาพ รวมไปถึงระบบข้อมูลของกรมบัญชีกลางด้วย แม้ล่าสุดจะได้มีการชะลอการบังคับใช้ประกาศกรมบัญชีกลาง เรื่องการให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังสิทธิสวัสดิการข้าราชการต้องลงทะเบียน 1 โรงพยาบาล ต่อ 1 โรคเรื้อรัง หรือ 1 โรงพยาบาล ต่อทุกโรคเรื้อรัง ภายในวันที่ 30 พ.ย.2555 ออกไปอย่างไม่มีกำหนดแล้วก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นฐานข้อมูลกลางเดียวกัน ซึ่งจะทำให้การทำงานหรือการให้บริการต่อประชาชนมีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น
“การชะลอบังคับใช้ประกาศของกรมบัญชีกลาง ไม่น่าจะเป็นเพราะเหตุผลระบบการส่งต่อผู้ป่วยและการรักษาต่อเนื่องในสถานพยาบาลใกล้บ้านยังมีข้อจำกัด รวมไปถึงระบบลงทะเบียนยังไม่มีความพร้อม เนื่องจากระบบการส่งต่อผู้ป่วยของ สธ.นั้นดีอยู่แล้ว และยิ่งไม่น่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของระบบลงทะเบียนข้อมูล แต่เป็นเพราะผู้ป่วยอาจมีการเลือกไปรับบริการจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความแออัดมากขึ้น ซึ่งตามหลักการของ สธ.แล้วผู้ป่วยโรคเรื้อรังต้องไปที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ก่อน แล้วจึงมีการส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ” ปลัด สธ.กล่าว
นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินงานพัฒนาระบบฐานข้อมูลสุขภาพนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพูดคุยในรายละเอียดอยู่ว่า จะมีการออกแบบลักษณะของระบบฐานข้อมูลอย่างไร แต่เบื้องต้นนั้นแต่ละชุดทำงาน ได้แก่ สธ. สปสช.และกรมบัญชีกลาง ต้องไปทบทวนดูบทบาท หน้าที่ของตัวเองก่อน เพื่อที่จะกำหนดเงื่อนเวลาในการดำเนินงาน และวางแผนพัฒนาในส่วนของตน เพื่อนำเสนอต่อ รมว.สาธารณสุข เป็นลำดับต่อไป อย่างไรก็ตาม คาดว่า เมื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลสุขภาพให้สามารถใช้งานได้จริงแล้ว จะให้ สปสช.เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบข้อมูลด้านสุขภาพของประเทศ
“ตอนนี้ระบบข้อมูลสุขภาพต่างๆ ถือว่าเป็นคนละข้อมูล อย่างระบบการส่งต่อผู้ป่วยของ สธ. หรือการลงทะเบียน 1 โรงพยาบาล ต่อ 1 โรคเรื้อรังของกรมบัญชีกลาง ซึ่งมีการชะลอโครงการไปแล้ว ก็ล้วนแต่เป็นคนละข้อมูล หากในอนาคตสามารถรวมข้อมูลสุขภาพทั้งหมดให้เป็นฐานข้อมูลสุขภาพของประเทศได้ ก็จะช่วยให้การทำงานและการบริการประชาชนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” ปลัด สธ.กล่าว
ทั้งนี้ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลสุขภาพของประเทศนั้น เป็นหนึ่งในเป้าหมายการปรับโครงสร้างของหน่วยงานภายในกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ 1.หน่วยงานกำหนดกฎเกณฑ์การบริหารทางด้านสุขภาพระดับชาติ (National Health Authority) ซึ่งก็คือ สธ.2.หน่วยงานบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เดิม สธ.เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ ก็ต้องมีการจัดระบบให้เป็นพื้นที่ 3.หน่วยงานที่ดูแลด้านการซื้อบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข และ 4.หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านข้อมูลสุขภาพของประเทศ
