กมธ.สาธารณสุข จี้ คลัง ทบทวน 3 ประกาศกรมบัญชีกลาง ห้ามใช้ยากลูโคซามีนซัลเฟต และการใช้ยานอกบัญชีฯ เหตุละเมิดสิทธิ ขรก.แนะรื้อระบบการเบิกจ่ายแก้ปัญหาได้ดีกว่าสั่งลงทะเบียน 1 รพ.1 โรคเรื้อรัง
วันนี้ (13 พ.ย.) ในการประชุมคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ที่มี นพ.อนันต์ อริยะชัยพาณิชย์ ส.ว.สุรินทร์ เป็นประธาน ได้มีข้อสรุปเรียกร้องให้กระทรวงการคลัง ทบทวนระเบียบ 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1.เรื่องการลงทะเบียนในการระบบเบิกจ่ายตรงผู้ป่วยนอกกับสถานพยาบาลของทางราชการกรณีผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 2.เรื่องการห้ามเบิกจ่ายยากลูโคซามีนซัลเฟต และ 3.เรื่องการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ทั้งนี้ กมธ.สาธารณสุข มีความเห็นว่า กระทรวงการคลังควรทบทวนเพื่อไม่ให้การออกระเบียบนี้กระทบต่อการประกอบวิชาชีพของแพทย์ และละเมิดสิทธิของข้าราชการ เนื่องจากระเบียบไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการระบุเหตุผลของแพทย์ประกอบการเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติควรให้เป็นดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
นอกจากนี้ กรณีเรื่องการห้ามเบิกจ่ายยากลูโคซามีนซัลเฟต มีข้อมูลทางวิชาการจากราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศ ชัดเจนว่า ยาดังกล่าวยังคงเป็นยาที่มีประสิทธิผลในคนไข้เฉพาะกลุ่มที่เหมาะสม ดังนั้น การห้ามเบิกยาชนิดนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล และสำหรับกรณีเรื่องการลงทะเบียน 1 โรงพยาบาล 1 โรคเรื้อรัง วัตถุประสงค์ของเรื่องนี้ คือ การจำกัดผู้ชอปปิ้งยา ซึ่งในข้อเท็จจริงและในทางปฏิบัติควรดำเนินการเรื่องเทคโนโลยีการเบิกจ่ายให้มีความทันสมัย และครอบคลุมทั้งประเทศก่อน เพราะการดำเนินการเช่นนี้จะสามารถแก้ไขการทุจริตเรื่องยาได้ และสามารถควบคุมเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงเห็นด้วยในหลักการว่าควรมีเหตุผลในการใช้ยาและการคุมค่าใช้จ่าย เพราะเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่บางเรื่องที่เกิดปัญหาก็ควรมีการพิจารณาร่วมกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป
วันนี้ (13 พ.ย.) ในการประชุมคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ที่มี นพ.อนันต์ อริยะชัยพาณิชย์ ส.ว.สุรินทร์ เป็นประธาน ได้มีข้อสรุปเรียกร้องให้กระทรวงการคลัง ทบทวนระเบียบ 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1.เรื่องการลงทะเบียนในการระบบเบิกจ่ายตรงผู้ป่วยนอกกับสถานพยาบาลของทางราชการกรณีผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 2.เรื่องการห้ามเบิกจ่ายยากลูโคซามีนซัลเฟต และ 3.เรื่องการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ทั้งนี้ กมธ.สาธารณสุข มีความเห็นว่า กระทรวงการคลังควรทบทวนเพื่อไม่ให้การออกระเบียบนี้กระทบต่อการประกอบวิชาชีพของแพทย์ และละเมิดสิทธิของข้าราชการ เนื่องจากระเบียบไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการระบุเหตุผลของแพทย์ประกอบการเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติควรให้เป็นดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
นอกจากนี้ กรณีเรื่องการห้ามเบิกจ่ายยากลูโคซามีนซัลเฟต มีข้อมูลทางวิชาการจากราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศ ชัดเจนว่า ยาดังกล่าวยังคงเป็นยาที่มีประสิทธิผลในคนไข้เฉพาะกลุ่มที่เหมาะสม ดังนั้น การห้ามเบิกยาชนิดนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล และสำหรับกรณีเรื่องการลงทะเบียน 1 โรงพยาบาล 1 โรคเรื้อรัง วัตถุประสงค์ของเรื่องนี้ คือ การจำกัดผู้ชอปปิ้งยา ซึ่งในข้อเท็จจริงและในทางปฏิบัติควรดำเนินการเรื่องเทคโนโลยีการเบิกจ่ายให้มีความทันสมัย และครอบคลุมทั้งประเทศก่อน เพราะการดำเนินการเช่นนี้จะสามารถแก้ไขการทุจริตเรื่องยาได้ และสามารถควบคุมเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงเห็นด้วยในหลักการว่าควรมีเหตุผลในการใช้ยาและการคุมค่าใช้จ่าย เพราะเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่บางเรื่องที่เกิดปัญหาก็ควรมีการพิจารณาร่วมกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป
