สธ.จับมือ สปสช.แบ่ง 4 โซน 6 โรงพยาบาลรัฐใน กทม.นำร่องสร้างเครือข่ายบริการรับส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน และโรคยุ่งยากซับซ้อนจากโรงพยาบาลรอบ กทม.29 จังหวัด สางปัญหาเตียงไม่ว่าง เริ่ม 1 พ.ย.นี้
วันนี้ (29 ต.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวระหว่างเป็นประธานพิธีประกาศความร่วมมือในการกำหนดพื้นที่การส่งต่อผู้ป่วยและรับกลับ ระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โรงพยาบาลในสังกัดสธ.ที่อยู่รอบกรุงเทพฯ กับ รพ.สังกัดมหาวิทยาลัย รพ.สังกัดกรมการแพทย์ และสภากาชาดไทย ว่า สธ.ได้ร่วมกับ สปสช.พัฒนาระบบบริการสุขภาพ 2 เรื่องใหญ่ ได้แก่ 1.การจัดแผนพัฒนาระบบบริการผู้ป่วย ในรูปของเครือข่ายบริการที่ไร้รอยต่อ (Seamless Health Service Network) เชื่อมโยงบริการ 3 ระดับเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ เป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดหลีกเลี่ยงการลงทุนที่ซ้ำซ้อน
นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า 2.การสร้างเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยจากต่างจังหวัดที่ป่วยฉุกเฉิน หรือป่วยด้วยโรคที่มีความยุ่งยากซับซ้อน เพื่อเข้ารักษาต่อในโรงพยาบาลที่อยู่ในกทม. ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและมีเทคโนโลยีชั้นสูง ได้แก่ รพ.สังกัด สธ.สังกัดมหาวิทยาลัย และสังกัดสภากาชาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาเตียงเต็มหรือไม่ว่าง โดยได้ตั้งคณะกรรมการความร่วมมือระบบส่งต่อผู้ป่วยระดับประเทศ 1 ชุด มีปลัด สธ.เป็นประธาน และ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.เป็นเลขานุการ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่มีคุณภาพและปลอดภัย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
“จากสถติในปี 2554 มีผู้ป่วยส่งต่อเข้ารักษาในพื้นที่ กทม.รวม 89,778 ราย อันดับ 1 ที่ รพ.ราชวิถี 13,386 ราย รองลงมา คือ รพ.ศิริราช 12,933 ราย รพ.รามาธิบดี 8,455 ราย สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติฯ 7,947 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับเลนส์และจอประสาทตา” ปลัด สธ.กล่าว
นพ.ณรงค์ กล่าวต่อไปว่า ในการวางระบบเครือข่ายการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยเบื้องต้นนี้ จะเริ่มใน รพ.สังกัด สธ.ที่อยู่ในพื้นที่รอบ กทม.29 จังหวัดก่อน โดยมีโรงพยาบาลที่อยู่ใน กทม.6 แห่งเป็นแม่ข่าย แบ่งเป็น 4 โซน ดังนี้ 1.รพ.ศิริราช ดูแล 8 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และ สมุทรสาคร 2.รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ดูแล 7 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา สระแก้ว และปราจีนบุรี 3.รพ.ราชวิถี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ดูแล 7 จังหวัด ได้แก่ สระบุรี สิงห์บุรี ลพบุรี นนทบุรี ปทุมธานี นครนายก และ อ่างทอง และ 4.รพ.รามาธิบดี ดูแล 7 จังหวัด ได้แก่ นครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร อุทัยธานี ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา และสมุทรปราการ โดย สปสช.จะดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
“เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นแล้ว จะมีการประสานส่งกลับไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลเดิมที่ส่งตัวไป เพื่อลดความแออัดผู้ป่วยในโรงพยาบาลใหญ่ใน กทม.และจะเป็นการเพิ่มศักยภาพการดูแลผู้ป่วยของโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ลดภาระด้านค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยให้สามารถรับบริการได้ที่สถานบริการใกล้บ้าน จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ จากนั้นจะมีการประเมินผลและขยายในภูมิภาคอื่นๆ ต่อไป” ปลัด สธ.กล่าว
ด้าน นพ.วินัย กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการสนับสนุนนโยบายในการพัฒนาการรับและส่งต่อผู้ป่วยข้ามจังหวัดในระดับพื้นที่ที่อยู่รอบ กทม.ซึ่งแต่ละพื้นที่จะร่วมมือกันกำหนดกลไกในการบริหารจัดการ และพัฒนาระบบการส่งต่อ-รับกลับผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยกำหนดกรอบในการดำเนินการพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วย รวมถึงการอำนวยการอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะหารือความร่วมมือในการกำหนดพื้นที่การส่งต่อและรับกลับผู้ป่วย พัฒนาความร่วมมือทางวิชาการ และการพัฒนาขีดความสามารถของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลในสังกัดมหาวิทยาลัย และสภากาชาดไทย เพื่อสร้างเครือข่ายในการให้บริการสาธารณสุข ทำให้ประชาชนอุ่นใจว่าแม้อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด แต่หากจำเป็นต้องรับการรักษาโดยแพทย์เชี่ยวชาญ ก็มีบริการรับส่งผู้ป่วยไปยังสถานบริการที่มีศักยภาพสูงกว่า ถือเป็นเครือข่ายบริการที่ไร้รอยต่อ
วันนี้ (29 ต.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวระหว่างเป็นประธานพิธีประกาศความร่วมมือในการกำหนดพื้นที่การส่งต่อผู้ป่วยและรับกลับ ระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โรงพยาบาลในสังกัดสธ.ที่อยู่รอบกรุงเทพฯ กับ รพ.สังกัดมหาวิทยาลัย รพ.สังกัดกรมการแพทย์ และสภากาชาดไทย ว่า สธ.ได้ร่วมกับ สปสช.พัฒนาระบบบริการสุขภาพ 2 เรื่องใหญ่ ได้แก่ 1.การจัดแผนพัฒนาระบบบริการผู้ป่วย ในรูปของเครือข่ายบริการที่ไร้รอยต่อ (Seamless Health Service Network) เชื่อมโยงบริการ 3 ระดับเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ เป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดหลีกเลี่ยงการลงทุนที่ซ้ำซ้อน
นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า 2.การสร้างเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยจากต่างจังหวัดที่ป่วยฉุกเฉิน หรือป่วยด้วยโรคที่มีความยุ่งยากซับซ้อน เพื่อเข้ารักษาต่อในโรงพยาบาลที่อยู่ในกทม. ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและมีเทคโนโลยีชั้นสูง ได้แก่ รพ.สังกัด สธ.สังกัดมหาวิทยาลัย และสังกัดสภากาชาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาเตียงเต็มหรือไม่ว่าง โดยได้ตั้งคณะกรรมการความร่วมมือระบบส่งต่อผู้ป่วยระดับประเทศ 1 ชุด มีปลัด สธ.เป็นประธาน และ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.เป็นเลขานุการ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่มีคุณภาพและปลอดภัย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
“จากสถติในปี 2554 มีผู้ป่วยส่งต่อเข้ารักษาในพื้นที่ กทม.รวม 89,778 ราย อันดับ 1 ที่ รพ.ราชวิถี 13,386 ราย รองลงมา คือ รพ.ศิริราช 12,933 ราย รพ.รามาธิบดี 8,455 ราย สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติฯ 7,947 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับเลนส์และจอประสาทตา” ปลัด สธ.กล่าว
นพ.ณรงค์ กล่าวต่อไปว่า ในการวางระบบเครือข่ายการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยเบื้องต้นนี้ จะเริ่มใน รพ.สังกัด สธ.ที่อยู่ในพื้นที่รอบ กทม.29 จังหวัดก่อน โดยมีโรงพยาบาลที่อยู่ใน กทม.6 แห่งเป็นแม่ข่าย แบ่งเป็น 4 โซน ดังนี้ 1.รพ.ศิริราช ดูแล 8 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และ สมุทรสาคร 2.รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ดูแล 7 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา สระแก้ว และปราจีนบุรี 3.รพ.ราชวิถี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ดูแล 7 จังหวัด ได้แก่ สระบุรี สิงห์บุรี ลพบุรี นนทบุรี ปทุมธานี นครนายก และ อ่างทอง และ 4.รพ.รามาธิบดี ดูแล 7 จังหวัด ได้แก่ นครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร อุทัยธานี ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา และสมุทรปราการ โดย สปสช.จะดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
“เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นแล้ว จะมีการประสานส่งกลับไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลเดิมที่ส่งตัวไป เพื่อลดความแออัดผู้ป่วยในโรงพยาบาลใหญ่ใน กทม.และจะเป็นการเพิ่มศักยภาพการดูแลผู้ป่วยของโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ลดภาระด้านค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยให้สามารถรับบริการได้ที่สถานบริการใกล้บ้าน จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ จากนั้นจะมีการประเมินผลและขยายในภูมิภาคอื่นๆ ต่อไป” ปลัด สธ.กล่าว
ด้าน นพ.วินัย กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการสนับสนุนนโยบายในการพัฒนาการรับและส่งต่อผู้ป่วยข้ามจังหวัดในระดับพื้นที่ที่อยู่รอบ กทม.ซึ่งแต่ละพื้นที่จะร่วมมือกันกำหนดกลไกในการบริหารจัดการ และพัฒนาระบบการส่งต่อ-รับกลับผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยกำหนดกรอบในการดำเนินการพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วย รวมถึงการอำนวยการอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะหารือความร่วมมือในการกำหนดพื้นที่การส่งต่อและรับกลับผู้ป่วย พัฒนาความร่วมมือทางวิชาการ และการพัฒนาขีดความสามารถของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลในสังกัดมหาวิทยาลัย และสภากาชาดไทย เพื่อสร้างเครือข่ายในการให้บริการสาธารณสุข ทำให้ประชาชนอุ่นใจว่าแม้อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด แต่หากจำเป็นต้องรับการรักษาโดยแพทย์เชี่ยวชาญ ก็มีบริการรับส่งผู้ป่วยไปยังสถานบริการที่มีศักยภาพสูงกว่า ถือเป็นเครือข่ายบริการที่ไร้รอยต่อ