อาชีวะ ชง ครม.ขอเปลี่ยนลูกจ้างชั่วคราว เป็นพนักงานราชการเพิ่ม หลังจากที่ก่อนหน้าเคยขอไปแล้วแต่ยังไม่เพียงพอเหตุวิทยาลัยทุกแห่งขาดกำลังคนหนัก พร้อมเผยข้อมูลเชิงลึก ชี้ วิทยาลัยเทคนิคมีลูกจ้างชั่วคราวมากที่สุดกว่า 40% ขณะที่ลูกจ้างชั่วคราวในสังกัดที่ทำงานมากกว่า 3 ปีมีจำนวนวสูงกว่า 60%
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ลงนามในหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอวาระเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอความเห็นชอบเปลี่ยนสถานภาพลูกจ้างชั่วคราว เป็นพนักงานราชการสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยเป็นพนักงานราชการทั่วไปในสายผู้สอน จำนวน 8,595 อัตรา และพนักงานราชการทั่วไปสายสนับสนุน จำนวน 11,403 อัตรา รวมทั้งสิ้น 19,998 อัตรา โดยใช้วงเงินงบประมาณ 3,599,640,000 บาท ต่อหนึ่งปีงบประมาณ ทั้งนี้ การขอนุมัติกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการดังกล่าว เป็นการขอเพิ่มเติมจากกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ รอบที่ 3 (ปีงบปราณ 2556-2559) ซึ่งได้ขออนุมัติไว้แล้ว จำนวน 5,310 อัตรา แต่เนื่องจากจำนวนกรอบอัตรากำลังที่ขอไปอยู่บนฐานอัตรากำลังพนักงานราชการเดิม รอบที่ 2 ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น สถานศึกษาในสังกัด สอศ.ทุกแห่งยังคงประสบปัญหาขาดแคลนกำลังคนเป็นจำนวนมากจากนโยบายจำกัดกำลังคนภาครัฐโดยถูกตัดอัตราครูจากการการเกษียณอายุราชการและเกษียณก่อนกำหนด การโอน ย้าย ลาออก ตลอดจนภาระงานอื่นๆ ส่งผลให้งานคั่งค้างไม่ต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดความเสียหายหรือส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการสถานศึกษา และคุณภาพในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งสถานศึกษาต้องแก้ปัญหาโดยใช้เงินงบประมาณหรือรายได้บางส่วนไปใช้เพื่อจ้างลูกจ้างชั่วคราวเสริมอัตรากำลังคนตามความจำเป็น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในภาพรวมอย่างมาก
ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลเชิงลึก พบว่า สถานศึกษากลุ่มวิทยาลัยเทคนิค มีการจ้างลูกจ้างชั่วคราวมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 41.30 รองลงมาคือ กลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ คิดเป็นร้อยละ 31.53 และลูกจ้างชั่วคราวที่ได้รับจ้างอยู่ในสถานศึกษาและหน่วยงานสังกัด สอศ.เป็นระยะเวลายาวต่อเนื่องมากกว่า 3 ปีขึ้นไป มีถึงร้อยละ 60 ดังนั้น การที่ลูกจ้างชั่วคราวเหล่านี้จะได้รับโอกาสการเปลี่ยนสถานภาพเป็นพนักงานราชการซึ่งมีความมั่นคงในอาชีพ และได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น จะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้บุคคลเหล่านี้ กับทั้งจะเป็นการธำรงรักษาไว้ซึ่งบุคลการที่มีประสบการณ์และได้ทำประโยชน์ให้กับ สอศ.มาเป็นเวลานานแล้ว และยังจะเป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติงาน เพื่อสนองนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาลในการเพิ่มจำนวนนักเรียนนักศึกษาสายวิชาชีพต่อสายสามัญในสัดส่วน 60:40 ภายในปี 2561 ด้วย
