“ศักดา” เซ็ง “สุชาติ” ไม่มอบอำนาจตั้งกรรมการสอบทุจริตซื้อครุภัณฑ์อีก 10 ชุด รวมถึงกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ขรก.ทำให้แผนที่วางไว้จะสรุปเดือน ก.ย.นี้ อาจต้องเลื่อนออกไป ระบุ รมว.ศึกษาฯ ให้เหตุผลว่ากรรมการ 4 ชุดที่มีอยู่เพียงพอแล้ว พร้อมเตรียมส่งข้อมูลตรวจสอบรายละเอียดการจ้างบริษัทแห่งเดียวจัดงานอีเว้นท์ทั้งในส่วนกลางและในวิทยาลัยเพิ่มเติมให้ดีเอสไอ
นายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าภายหลังทำหนังสือถึง ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เพื่อขออำนาจในการตั้งคณะกรรมการสอบทุจริตการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา โดยใช้งบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งระยะที่ 2 หรือ SP2 เพิ่มอีก 10 ชุด พร้อมขออำนาจในการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการชั้นสูง ว่า รมว.ศึกษาธิการ ไม่ได้มอบอำนาจให้ตนตามที่ทำหนังสือเสนอไป โดยให้เหตุผลว่าให้ใช้คณะกรรมการสอบทุจริตการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ที่มีอยู่เดิม 4 ชุดทำหน้าที่ในการตรวจสอบเพียงพอแล้ว แต่เหตุผลที่ตนเสนอขอเพราะเนื่องจากวิทยาลัยสังกัด สอศ.มีมากถึง 415 แห่งคณะกรรมการที่มีอยู่ไม่เพียงพอ เพราะแต่ละท่านที่มาเป็นคณะกรรมการก็มีหน้าที่รับผิดชอบประจำอยู่แล้ว ไม่สามารถลงพื้นที่ตรวจสอบในวิทยาลัยได้ทุกวัน ดังนั้น จากเดิมที่วางแผนว่าหากสามารถตั้งคณะกรรมการเพิ่มขึ้นได้อีก 10 ชุด จะทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้นและจะสามารถสรุปผลได้ภายในเดือนกันยายนนี้นั้นคงจะต้องล่าช้าออกไป
“ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรในเมื่อไม่ได้รับมอบอำนาจให้แต่งตั้งเพิ่มเติม เพราะ รมว.ศึกษาธิการ มองว่า คณะกรรมการที่มีอยู่ก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริงไม่เพียงพอเพราะการตรวจสอบเรื่องนี้มีรายละเอียดมาก ซึ่งเมื่อท่าน รมว.ศึกษาธิการ ไม่ให้อำนาจผมก็ทำอะไรมากก็ไม่ได้ และหากให้คณะทำงานลงไปตรวจสอบแทนบางทีก็ยังไม่ได้ข้อมูล เพราะผู้บริหาร หรือคนที่จะให้ข้อมูลก็มีความกังวลเกรงว่าจะเดือดร้อนภายหลัง ผมต้องลงไปด้วยตนเองถึงจะกล้าเปิดเผย ขนาดเชิญผู้บริหารมาร่วมประชุมให้กรอกเอกสารผู้บริหารบางคนยังไม่กล้า เพราะเขากลัวว่า วันหนึ่งการเมืองมีการเปลี่ยนแปลง รัฐมนตรีทั้ง 2 คนถูกเปลี่ยนแปลงไปเขาอาจจะถูกกลั่นแกล้งหรือถูกโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรมเช่นที่ผ่านมา” นายศักดา กล่าว
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ในส่วนที่ไปทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดงานอีเวนต์ ซึ่งให้บริษัทเดียวจัดงานทั้งในส่วนกลางและในวิทยาลัย ทราบว่า มีการใช้งบประมาณทั้งหมด 500 ล้านบาท แต่ขณะนี้เพิ่งตรวจสอบข้อมูลได้เพียงบางส่วนในวงเงิน 200 ล้านบาท ซึ่งก็จะทยอยส่งรายละเอียดเพิ่มเติมให้กับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ต่อไปเพื่อนำไปใช้รวบรวมในการตรวจสอบเรื่องการจัดซื้อครุภัณฑ์ที่ส่งเรื่องให้ไปก่อนหน้านี้
นายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าภายหลังทำหนังสือถึง ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เพื่อขออำนาจในการตั้งคณะกรรมการสอบทุจริตการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา โดยใช้งบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งระยะที่ 2 หรือ SP2 เพิ่มอีก 10 ชุด พร้อมขออำนาจในการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และสอบวินัยร้ายแรงข้าราชการชั้นสูง ว่า รมว.ศึกษาธิการ ไม่ได้มอบอำนาจให้ตนตามที่ทำหนังสือเสนอไป โดยให้เหตุผลว่าให้ใช้คณะกรรมการสอบทุจริตการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ที่มีอยู่เดิม 4 ชุดทำหน้าที่ในการตรวจสอบเพียงพอแล้ว แต่เหตุผลที่ตนเสนอขอเพราะเนื่องจากวิทยาลัยสังกัด สอศ.มีมากถึง 415 แห่งคณะกรรมการที่มีอยู่ไม่เพียงพอ เพราะแต่ละท่านที่มาเป็นคณะกรรมการก็มีหน้าที่รับผิดชอบประจำอยู่แล้ว ไม่สามารถลงพื้นที่ตรวจสอบในวิทยาลัยได้ทุกวัน ดังนั้น จากเดิมที่วางแผนว่าหากสามารถตั้งคณะกรรมการเพิ่มขึ้นได้อีก 10 ชุด จะทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้นและจะสามารถสรุปผลได้ภายในเดือนกันยายนนี้นั้นคงจะต้องล่าช้าออกไป
“ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรในเมื่อไม่ได้รับมอบอำนาจให้แต่งตั้งเพิ่มเติม เพราะ รมว.ศึกษาธิการ มองว่า คณะกรรมการที่มีอยู่ก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริงไม่เพียงพอเพราะการตรวจสอบเรื่องนี้มีรายละเอียดมาก ซึ่งเมื่อท่าน รมว.ศึกษาธิการ ไม่ให้อำนาจผมก็ทำอะไรมากก็ไม่ได้ และหากให้คณะทำงานลงไปตรวจสอบแทนบางทีก็ยังไม่ได้ข้อมูล เพราะผู้บริหาร หรือคนที่จะให้ข้อมูลก็มีความกังวลเกรงว่าจะเดือดร้อนภายหลัง ผมต้องลงไปด้วยตนเองถึงจะกล้าเปิดเผย ขนาดเชิญผู้บริหารมาร่วมประชุมให้กรอกเอกสารผู้บริหารบางคนยังไม่กล้า เพราะเขากลัวว่า วันหนึ่งการเมืองมีการเปลี่ยนแปลง รัฐมนตรีทั้ง 2 คนถูกเปลี่ยนแปลงไปเขาอาจจะถูกกลั่นแกล้งหรือถูกโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรมเช่นที่ผ่านมา” นายศักดา กล่าว
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ในส่วนที่ไปทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดงานอีเวนต์ ซึ่งให้บริษัทเดียวจัดงานทั้งในส่วนกลางและในวิทยาลัย ทราบว่า มีการใช้งบประมาณทั้งหมด 500 ล้านบาท แต่ขณะนี้เพิ่งตรวจสอบข้อมูลได้เพียงบางส่วนในวงเงิน 200 ล้านบาท ซึ่งก็จะทยอยส่งรายละเอียดเพิ่มเติมให้กับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ต่อไปเพื่อนำไปใช้รวบรวมในการตรวจสอบเรื่องการจัดซื้อครุภัณฑ์ที่ส่งเรื่องให้ไปก่อนหน้านี้