กทม.เดินหน้าเร่งพัฒนาศักยภาพแรงงานนอกระบบในเมืองกรุง รองรับประชาคมอาเซียน ขณะที่ประธานศูนย์แรงงานนอกระบบ ขอ กทม.ออกใบรับรองผู้ประกอบอาชีพนอกระบบ
วันนี้ (11 ก.ย.) นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เป็นประธานกล่าวเปิดงานสมัชชาแรงงานนอกระบบกรุงเทพมหานคร ซึ่งศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบ ศูนย์วิชาการแรงงานนอกระบบ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐร่วมกันจัดขึ้น เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างแรงงานนอกระบบ กลุ่มอาชีพต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ภาคประชาสังคม การเมือง นักวิชาการ สื่อมวลชน และหน่วยงานภาครัฐ ในการขับเคลื่อนระดับนโยบายและการปฏิบัติงาน เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบในกรุงเทพมหานคร โดยมีกลุ่มอาชีพแท็กซี่ หาบเร่แผงลอย ตัดเย็บเสื้อผ้า มอเตอร์ไซค์รับจ้าง หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม กว่า 250 คน เข้าร่วมงาน ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการ กทม.
นางทยา กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “นโยบายส่งเสริมและพัฒนาแรงงานนอกระบบ กรุงเทพมหานคร” ว่า การร่วมกันแลกเปลี่ยนทัศนะมุมมอง และนโยบายในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับแรงงานนอกระบบนั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่จะร่วมดำเนินการ เพื่อทำให้ผู้ที่อยู่นอกระบบได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีหลักประกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรายได้ สุขภาพที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน เพราะผู้ใช้แรงงานนอกระบบ ถือว่าเป็นแรงงานหลักของประเทศ ซึ่งจากตัวเลขจะเห็นได้ว่าในปี 2554 มีผู้มีงานทำทั้งสิ้น 39.3 ล้านคน แบ่งเป็นแรงงานนอกระบบ 24.6 ล้านคน หรือร้อยละ 62.2 ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับแรงงานในระบบ ประเทศจะพัฒนาไปไม่ได้หากผู้ที่ทำงานนอกระบบไม่มีสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะการจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนนั้น ต้องมีการพัฒนาศักยภาพของแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสุขภาพ ความรู้ หรือทักษะการทำงานที่ต้องมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และเป็นสิ่งจำเป็นที่ภาครัฐและท้องถิ่นจะต้องร่วมมือกันในการทำให้ผู้ใช้แรงงานนอกระบบได้มีการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยขอยืนยันว่า กทม.ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในส่วนของแรงงานนอกระบบได้ดำเนินการในหลายๆ ส่วนเพื่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ได้ร่วมกับสำนักพัฒนาสังคม สำนักอนามัย เรื่องการดูแลสุขภาวะ การให้ความรู้ในเรื่องของสุขภาพ และการส่งเสริมอาชีพแรงงานนอกระบบในหลายอาชีพให้มีความก้าวหน้าทางอาชีพที่ดีขึ้น การสร้างสวัสดิการต่างๆ ทำบัตรประจำตัวของแต่ละอาชีพ รวมถึงการอบรมภาษาอังกฤษให้กับกลุ่มรถแท็กซี่ โดยจะตั้งใจดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามนโยบายผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร “ทั้งชีวิตเราดูแล”
ทั้งนี้ เครือข่ายแรงงานนอกระบบ นำโดย นางสุจิน รุ่งสว่าง ประธานศูนย์แรงงานนอกระบบ พร้อมผู้แทน ได้ยื่นข้อเสนอและประกาศเจตนารมณ์ต่อกรุงเทพมหานคร เพื่อขอให้สนับสนุนการดำเนินงาน โดยมีรองผู้ว่าฯ กทม.รับมอบ มีรายละเอียดประกอบด้วย 1.สนับสนุนการขึ้นทะเบียนของผู้ประกอบการ โดยการออกบัตรประจำตัวผู้ประกอบอาชีพเพื่อรับรองสถานภาพว่าเป็นผู้ที่ได้รับการรับรองจาก กทม.เพื่อเอื้ออำนวยในการประกอบอาชีพทั้งในด้านสถานที่ การลดหย่อนการบังคับใช้กฎหมายระเบียบของ กทม.การเข้าถึงสิทธิและบริการของ กทม. และบริการภาครัฐ การเข้าถึงแหล่งทุน ฯลฯ 2.สนับสนุนและส่งเสริมการบริการด้านสุขภาพ ความปลอดภัยและชีวอนามัยในการทำงาน 3.เร่งประสานความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการจัดตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร และ 4.สนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการจัดอาชีพเพื่อการเข้าถึงงานและมีรายได้สม่ำเสมอ โดยพิจารณาตามบริบทของอาชีพ โดยภายในงานมีการเสวนา หัวข้อ “สุขภาวะแรงงานนอกระบบ : รวยกระจุก ทุกข์กระจาย vs สุขกระจาย รายได้เพิ่ม” ด้วย
วันนี้ (11 ก.ย.) นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เป็นประธานกล่าวเปิดงานสมัชชาแรงงานนอกระบบกรุงเทพมหานคร ซึ่งศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบ ศูนย์วิชาการแรงงานนอกระบบ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐร่วมกันจัดขึ้น เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างแรงงานนอกระบบ กลุ่มอาชีพต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ภาคประชาสังคม การเมือง นักวิชาการ สื่อมวลชน และหน่วยงานภาครัฐ ในการขับเคลื่อนระดับนโยบายและการปฏิบัติงาน เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบในกรุงเทพมหานคร โดยมีกลุ่มอาชีพแท็กซี่ หาบเร่แผงลอย ตัดเย็บเสื้อผ้า มอเตอร์ไซค์รับจ้าง หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม กว่า 250 คน เข้าร่วมงาน ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการ กทม.
นางทยา กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “นโยบายส่งเสริมและพัฒนาแรงงานนอกระบบ กรุงเทพมหานคร” ว่า การร่วมกันแลกเปลี่ยนทัศนะมุมมอง และนโยบายในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับแรงงานนอกระบบนั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่จะร่วมดำเนินการ เพื่อทำให้ผู้ที่อยู่นอกระบบได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีหลักประกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรายได้ สุขภาพที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน เพราะผู้ใช้แรงงานนอกระบบ ถือว่าเป็นแรงงานหลักของประเทศ ซึ่งจากตัวเลขจะเห็นได้ว่าในปี 2554 มีผู้มีงานทำทั้งสิ้น 39.3 ล้านคน แบ่งเป็นแรงงานนอกระบบ 24.6 ล้านคน หรือร้อยละ 62.2 ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับแรงงานในระบบ ประเทศจะพัฒนาไปไม่ได้หากผู้ที่ทำงานนอกระบบไม่มีสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะการจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนนั้น ต้องมีการพัฒนาศักยภาพของแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสุขภาพ ความรู้ หรือทักษะการทำงานที่ต้องมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และเป็นสิ่งจำเป็นที่ภาครัฐและท้องถิ่นจะต้องร่วมมือกันในการทำให้ผู้ใช้แรงงานนอกระบบได้มีการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยขอยืนยันว่า กทม.ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในส่วนของแรงงานนอกระบบได้ดำเนินการในหลายๆ ส่วนเพื่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ได้ร่วมกับสำนักพัฒนาสังคม สำนักอนามัย เรื่องการดูแลสุขภาวะ การให้ความรู้ในเรื่องของสุขภาพ และการส่งเสริมอาชีพแรงงานนอกระบบในหลายอาชีพให้มีความก้าวหน้าทางอาชีพที่ดีขึ้น การสร้างสวัสดิการต่างๆ ทำบัตรประจำตัวของแต่ละอาชีพ รวมถึงการอบรมภาษาอังกฤษให้กับกลุ่มรถแท็กซี่ โดยจะตั้งใจดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามนโยบายผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร “ทั้งชีวิตเราดูแล”
ทั้งนี้ เครือข่ายแรงงานนอกระบบ นำโดย นางสุจิน รุ่งสว่าง ประธานศูนย์แรงงานนอกระบบ พร้อมผู้แทน ได้ยื่นข้อเสนอและประกาศเจตนารมณ์ต่อกรุงเทพมหานคร เพื่อขอให้สนับสนุนการดำเนินงาน โดยมีรองผู้ว่าฯ กทม.รับมอบ มีรายละเอียดประกอบด้วย 1.สนับสนุนการขึ้นทะเบียนของผู้ประกอบการ โดยการออกบัตรประจำตัวผู้ประกอบอาชีพเพื่อรับรองสถานภาพว่าเป็นผู้ที่ได้รับการรับรองจาก กทม.เพื่อเอื้ออำนวยในการประกอบอาชีพทั้งในด้านสถานที่ การลดหย่อนการบังคับใช้กฎหมายระเบียบของ กทม.การเข้าถึงสิทธิและบริการของ กทม. และบริการภาครัฐ การเข้าถึงแหล่งทุน ฯลฯ 2.สนับสนุนและส่งเสริมการบริการด้านสุขภาพ ความปลอดภัยและชีวอนามัยในการทำงาน 3.เร่งประสานความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการจัดตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร และ 4.สนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการจัดอาชีพเพื่อการเข้าถึงงานและมีรายได้สม่ำเสมอ โดยพิจารณาตามบริบทของอาชีพ โดยภายในงานมีการเสวนา หัวข้อ “สุขภาวะแรงงานนอกระบบ : รวยกระจุก ทุกข์กระจาย vs สุขกระจาย รายได้เพิ่ม” ด้วย