บอร์ด สปสช.มีมติขยายเกณฑ์รับยาต้านไวรัส ในผู้ป่วยเอชไอวี 30 บาท ตามคำแนะนำ WHO เริ่ม 1 ต.ค.นี้ เตรียมหารืออีก 2 กองทุนขยายพร้อมกันทั้งประเทศ พร้อมเล็งปรับโครงสร้างสำนักงาน ตั้งรองเลขาฯ สปสช.เพิ่ม
วานนี้ (3 ก.ย.) ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เป็นประธานการประชุมบอร์ด สปสช.โดยมีการพิจารณาเรื่อง การขยายเกณฑ์การเริ่มรับยาต้านไวรัสเอชไอวีในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค
นายวิทยา กล่าวว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาเรื่องเกณฑ์การรับยาต้านไวรัสเอชไอวี โดยหารือว่าสมควรขยายให้ผู้ป่วยเอชไอวีในระบบ 30 บาททุกราย ได้รับยาเมื่อระดับค่าซีดีโฟว์ (CD4) หรือค่าภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย ที่ระดับ 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร(เซลล์/ลบ.มม.) เนื่องจากเป็นค่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ เพราะหากได้รับยาต้านไวรัสเร็วก็จะส่งผลดีต่อผู้ป่วยในการป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆ ไม่ให้ร่างกายทรุดโทรมเร็ว แต่ปัจจุบันการให้ยาต้านไวรัสฯที่ระดับดังกล่าวจะเป็นเฉพาะกลุ่ม อาทิ ภาวะตับอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี หรือมีอายุมากกว่า 50 ปี และป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง หรือภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ หรือมีภาวะแทรกซ้อนทางไตที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี ขณะที่ผู้ป่วยเอชไอวีนอกเหนือจากกลุ่มนี้จะได้รับยาต้านไวรัสฯ เมื่อค่าซีดีโฟว์อยู่ที่ระดับ 200 เซลล์/ลบ.มม.ซึ่งตรงนี้จึงมีการพิจารณาให้ผู้ป่วยเอชไอวีทุกรายต้องได้รับยาในระดับค่าซีดีโฟว์ที่เท่าเทียมจริงๆ
นายวิทยา กล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้ที่ประชุมจึงมีมติให้ขยายเกณฑ์การรับยาต้านไวรัสฯเมื่อมีค่า CD4 ที่ 350 เซลล์/ลบ.มม.โดยให้ในผู้ป่วยเอชไอวีทุกรายในระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค และจะมีการหารือถึงแนวทางปรับเกณฑ์ดังกล่าวให้เท่าเทียมทุกกลุ่ม ซึ่งเรื่องนี้ได้มอบให้ทางเลขาธิการ สปสช. ไปหารือว่าจะครอบคลุมทั้งสิทธิประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการข้าราชการพร้อมกันด้วยหรือไม่ โดยจะเริ่มใช้แนวทางดังกล่าวในวันที่ 1 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป สำหรับในส่วนของผู้ป่วยเอชไอวีในระบบ 30 บาทคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น 321 ล้านบาท จากเดิมใช้งบปีละ ล้านบาท และในระยะเวลา 4 ปี คาดว่าจะสามารถช่วยชีวิตผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1,374 คน
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า การปรับเกณฑ์ดังกล่าวเบื้องต้นจะเริ่มใช้ในผู้ป่วยเอชไอวีในระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค ส่วนกรณีผู้ป่วยเอชไอวีในระบบประกันสังคมและสวัสดิการข้าราชการนั้น ทาง รมว.สาธารณสุข ได้มอบหมายให้ไปหารือกับอีก 2 กองทุน เพื่อให้ได้ข้อสรุปในการปรับเกณฑ์ที่เท่าเทียมกันทั้งหมด เพื่อให้สามารถขยายสิทธิกรณีดังกล่าวได้พร้อมกันในวันที่ 1 ต.ค.2555
นพ.วินัย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังมีการพิจารณาเบื้องต้นถึงการปรับโครงสร้างสำนักงานฯ เนื่องจากด้วยภาระงานที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายการบูรณาการสิทธิ 3 กองทุน ให้มีความเสมอภาค ซึ่งไม่ได้หมายถึงรวม 3 กองทุน ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างงาน จากเดิมแบ่งงานเป็นกลุ่มงานย่อยๆ แต่ปัจจุบันต้องมีการเปลี่ยนให้งานมีการบูรณาการมากขึ้น ซึ่งตรงนี้อยู่ระหว่างทำรายละเอียดกคาดว่าอีก 2 เดือนจะมีผลเป็นรูปธรรมขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการตั้งรองเลขาธิการ สปสช.เพิ่มอีก 1 คน จากปัจจุบันมี 3 คน เพื่อดูงานเพิ่มเติมหรือไม่ นพ.วินัย กล่าวว่า ยังไม่ชัดเจน
ด้าน นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ในฐานะคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กล่าวถึงการขยายเกณฑ์การเริ่มรับยาต้านไวรัสเอดส์ ที่ CD4 ที่ระดับ 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ว่า ระบบหลักประกันสุขภาพเดิมจะจ่ายยาต้านไวรัสให้ผู้ป่วยที่มี CD4 ที่ระดับ 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร โดยระดับดังกล่าวถือว่าภูมิต้านทานต่ำและเสี่ยงที่จะเกิดโรคฉวยโอกาส เช่น วัณโรค เชื้อราที่เยื่อหุ้มสมอง เริม เป็นต้น แต่สาเหตุที่ต้องให้ยาในระดับดังกล่าว เนื่องจากในอดีตยาต้านไวรัสยังไม่เพียงพอ จึงต้องให้กับกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าให้ได้รับการรักษาก่อน แต่ปัจจุบันระบบการบริการทางการแพทย์ผู้ป่วยเอดส์พัฒนาขึ้นอย่างมาก ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้อย่างทั่วถึง จึงจำเป็นต้องเพิ่มระดับการให้ยาต้านไวรัส CD4 ที่ระดับ 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร เพราะจะทำให้เกิดผลดี คือ ลดปัญหาจากโรคฉวยโอกาส คุณภาพชีวิตดีขึ้น ลดการป่วยด้วยโรคจากเส้นเลือด เช่น หัวใจ ความดัน เบาหวาน และถือเป็นการป้องกันการแพร่กระจายโรคทางอ้อมด้วย
นายนิมิตร์ กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาของการควบคุมโรคเอดส์ คือ ผู้ป่วยรู้ตัวว่าติดเชื้อช้า โดยร้อยละ 80 เข้ารับการรักษาเมื่อระดับ CD4 อยู่ที่ 100 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าต่ำมากและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ โดยจำเป็นต้องสนับสนุนให้ประชาชนตรวจหาเชื้ออย่างสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์ในการดูแลตัวเอง และควบคุมการแพร่ระบาดของโรค เพราะเมื่อทราบว่าติดเชื้อ ปัจจุบันจะมีแนวทางการป้องกัน รักษาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ และเมื่อได้รับยาต้านไวรัสเร็วขึ้น จะทำให้จำนวนไวรัสในร่างกายต่ำ ซึ่งจะก่อให้เกิดโอกาสแพร่กระจายโรคได้น้อยลงด้วย โดยแนวนโยบายขยายเกณฑ์การเริ่มรับยาต้านไวรัสเอดส์ ที่ CD4 ที่ระดับ 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค.2555 นอกจากนี้ ปัจจุบันประชาชนสามารถไปรับการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี ในสถานพยาบาลได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง