กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ-สสส.เปิดศูนย์เรียนรู้ป่าเชียงเหียน จ.มหาสารคาม หนุนชุมชนนำภูมิปัญญาท้องถิ่น-สมุนไพรดูแลสุขภาพ อนุรักษ์ตำรับยาพื้นบ้าน 17 ตำรับ พืชสมุนไพร 57 ชนิด เผย ชาวบ้านในพื้นที่มีสารเคมีตกค้างในเลือด 25% เกิดจากสารเคมีการเกษตร ชูรางจืดช่วยบรรเทาได้
นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าวภายหลังพิธีเปิดศูนย์การเรียนรู้ป่าเชียงเหียนเพื่อขับเคลื่อนระบบสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ วัดป่าประชาสโมสรบ้านเชียงเหียน จ.มหาสารคาม ว่า การพัฒนาป่าให้กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้บ้านเชียงเหียนเป็นเรื่องที่ดีเป็นต้นแบบการปลูกป่าและเป็นแหล่งเรียนรู้การดูแลสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยแบ่งพื้นที่ป่า 3 ลักษณะ คือ 1.ป่าสมุนไพรตำรับบ้านเชียงเหียน 2.ป่าเชิงนิเวศ และ 3.ป่าสมุนไพรเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ป่าสมุนไพรตำรับบ้านเชียงเหียนและป่าเชิงนิเวศอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ต้องอาศัยเวลา 5-15 ปีขึ้นไปส่วนป่าสมุนไพรเศรษฐกิจใช้สำหรับขายยาสมุนไพรของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งมีการปลูกทดแทนทุกครั้งโดยมีคณะกรรมการหมู่บ้านดูแล เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขาดแคลนสมุนไพรขึ้น
ดร.อุษา กลิ่นหอม อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า บ้านเชียงเหียงเป็นชุมชนที่มีการเก็บยาสมุนไพรขายมานานกว่า 70 ปี โดยไม่มีการปลูกทดแทน ฟื้นฟูหรือการอนุรักษ์พืชสมุนไพร ทำให้สมุนไพรในป่าธรรมชาติและป่าของชุมชนลดน้อยลงหาเก็บขายได้ยากขึ้น บางชนิดสูญหายไปจากพื้นที่ จนกระทั่งในปี 2550 ได้ทำงานร่วมกับมูลนิธิสุขภาพไทย และการสนับสนุนจาก สสส.แผนงานพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพเพื่อการพึ่งพาตนเองของชุมชนและแผนงานสร้างเสริมระบบสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ ดำเนินการทดลองปลูกป่าสมุนไพรในพื้นที่ของวัดป่าประชาสงเคราะห์กว่า 30 ไร่ รวบรวมความรู้และปลูกพืชสมุนไพรรักษาโรคตามตำรับยาพื้นบ้านได้ 17 ตำรับ อนุรักษ์สมุนไพรมากถึง 57 ชนิด
น.ส.ชุติกาญจน์ ปิยะศิลปะ หัวหน้างานแพทย์แผนไทยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า สสจ.มหาสารคาม ได้ให้บริการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตรวจสุขภาพเบื้องต้น ตรวจหาสารเคมีตกค้างในเลือด การให้คำปรึกษาและจ่ายยาสมุนไพรคือ ชาใบรางจืดเพื่อใช้ล้างพิษ ซึ่งผลจากการตรวจค้นหาสารเคมีตกค้างในเลือดพบชาวบ้านมีสารเคมีตกค้างมากถึง 25%
“กลุ่มเกษตรกรเป็นกลุ่มที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุดจากการใช้ยาฆ่าแมลงปราบศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี ทั้งนี้ งานวิจัยทั้งในและต่างประเทศพบว่าการดื่มชาใบรางจืดเช้า-เย็น มื้อละ 1แก้ว ติดต่อ 1 เดือน จะช่วยลดปริมาณสารเคมีสะสมในกระแสเลือดลงได้ หรือผู้ที่ไม่มีสารเคมีอยู่ในระดับอันตรายก็ยังสามารถดื่มได้สัปดาห์ละ2 ครั้ง เป็นการดื่มเพื่อสุขภาพ ส่วนผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือต้องกินยาประจำควรหลีกเลี่ยงไม่กินชารางจืดพร้อมกับยา เพราะจะดูดเอาฤทธิ์ยาออกมาด้วย เช่นกินยามื้อเช้า ให้กินชารางจืดมื้อกลางวันแทน” น.ส.ชุติกาญจน์ กล่าว
นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าวภายหลังพิธีเปิดศูนย์การเรียนรู้ป่าเชียงเหียนเพื่อขับเคลื่อนระบบสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ วัดป่าประชาสโมสรบ้านเชียงเหียน จ.มหาสารคาม ว่า การพัฒนาป่าให้กลายเป็นศูนย์การเรียนรู้บ้านเชียงเหียนเป็นเรื่องที่ดีเป็นต้นแบบการปลูกป่าและเป็นแหล่งเรียนรู้การดูแลสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยแบ่งพื้นที่ป่า 3 ลักษณะ คือ 1.ป่าสมุนไพรตำรับบ้านเชียงเหียน 2.ป่าเชิงนิเวศ และ 3.ป่าสมุนไพรเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ป่าสมุนไพรตำรับบ้านเชียงเหียนและป่าเชิงนิเวศอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ต้องอาศัยเวลา 5-15 ปีขึ้นไปส่วนป่าสมุนไพรเศรษฐกิจใช้สำหรับขายยาสมุนไพรของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งมีการปลูกทดแทนทุกครั้งโดยมีคณะกรรมการหมู่บ้านดูแล เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขาดแคลนสมุนไพรขึ้น
ดร.อุษา กลิ่นหอม อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า บ้านเชียงเหียงเป็นชุมชนที่มีการเก็บยาสมุนไพรขายมานานกว่า 70 ปี โดยไม่มีการปลูกทดแทน ฟื้นฟูหรือการอนุรักษ์พืชสมุนไพร ทำให้สมุนไพรในป่าธรรมชาติและป่าของชุมชนลดน้อยลงหาเก็บขายได้ยากขึ้น บางชนิดสูญหายไปจากพื้นที่ จนกระทั่งในปี 2550 ได้ทำงานร่วมกับมูลนิธิสุขภาพไทย และการสนับสนุนจาก สสส.แผนงานพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพเพื่อการพึ่งพาตนเองของชุมชนและแผนงานสร้างเสริมระบบสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ ดำเนินการทดลองปลูกป่าสมุนไพรในพื้นที่ของวัดป่าประชาสงเคราะห์กว่า 30 ไร่ รวบรวมความรู้และปลูกพืชสมุนไพรรักษาโรคตามตำรับยาพื้นบ้านได้ 17 ตำรับ อนุรักษ์สมุนไพรมากถึง 57 ชนิด
น.ส.ชุติกาญจน์ ปิยะศิลปะ หัวหน้างานแพทย์แผนไทยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า สสจ.มหาสารคาม ได้ให้บริการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตรวจสุขภาพเบื้องต้น ตรวจหาสารเคมีตกค้างในเลือด การให้คำปรึกษาและจ่ายยาสมุนไพรคือ ชาใบรางจืดเพื่อใช้ล้างพิษ ซึ่งผลจากการตรวจค้นหาสารเคมีตกค้างในเลือดพบชาวบ้านมีสารเคมีตกค้างมากถึง 25%
“กลุ่มเกษตรกรเป็นกลุ่มที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุดจากการใช้ยาฆ่าแมลงปราบศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี ทั้งนี้ งานวิจัยทั้งในและต่างประเทศพบว่าการดื่มชาใบรางจืดเช้า-เย็น มื้อละ 1แก้ว ติดต่อ 1 เดือน จะช่วยลดปริมาณสารเคมีสะสมในกระแสเลือดลงได้ หรือผู้ที่ไม่มีสารเคมีอยู่ในระดับอันตรายก็ยังสามารถดื่มได้สัปดาห์ละ2 ครั้ง เป็นการดื่มเพื่อสุขภาพ ส่วนผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือต้องกินยาประจำควรหลีกเลี่ยงไม่กินชารางจืดพร้อมกับยา เพราะจะดูดเอาฤทธิ์ยาออกมาด้วย เช่นกินยามื้อเช้า ให้กินชารางจืดมื้อกลางวันแทน” น.ส.ชุติกาญจน์ กล่าว