วินาทีแรกที่คุณพ่อ คุณแม่มือใหม่ตื่นเต้นที่สุด น่าจะเป็นวินาทีที่ได้เห็นหน้าลูกหลังจากคุณแม่ตั้งครรภ์มายาวนานกว่า 44 สัปดาห์ ก่อนที่จะดูว่าลูกหน้าเหมือนใคร ผู้ปกครองหลายคนคงลุ้นว่าลูกจะมีอาการครบ 32 หรือไม่ หู คอ ปาก จมูก แขน ขา ครบถ้วนตามที่ควรจะเป็นหรือเปล่า
สถิติการบันทึกข้อมูลการเกิดปากแหว่งและ/หรือเพดานโหว่ใน 14 รัฐของสหรัฐอเมริกาในระหว่างปี 2547-2549 มีประมาณ 10.63 ต่อการคลอดมีชีพ 10,000 คน รวมทั้งปีมีประมาณ 4,400 ราย ส่วนสถิติการเกิดปากแหว่ง/เพดานโหว่ในประเทศไทย พบอุบัติการณ์ 1 ต่อการคลอดมีชีพ 800 ราย พบมากในภาคเหนือและภาคอีสาน อุบัติการณ์ในภาคอีสานมีมากถึง 2.5 รายต่อการคลอดมีชีพ 1,000 ราย ประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 800,000 รายต่อปี ก็เท่ากับว่าประเทศไทยจะมีเด็กแรกเกิดที่ปากแหว่ง/เพดานโหว่กว่าปีละ 1,000 คน
ความพิการส่วนอื่น ยังพอรับได้นะครับ แต่ความพิการบนใบหน้า หลายคนทำใจยอมรับได้ยาก
ทารกที่มีเพดานโหว่ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก เพราะการดูดนมไม่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์เนื่องจากรอยโหว่ที่เกิดขึ้นที่เพดานปาก ทำให้เด็กมักจะสำลักนมหรืออาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจหรือลุกลามจนเป็นปอดบวม หรือขาดสารอาหารเนื่องจากมีปัญหาจากการดูด การกลืนอาหาร นอกจากปัญหาที่เกิดกับร่างกายแล้ว เมื่อเติบโตขึ้นอาจส่งผลกระทบทางด้านจิตใจทำให้เด็ก รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่กล้าเข้าสังคมและอาจเป็นโรคซึมเศร้า
โชคดีตรงที่ความพิการปากแหว่งเพดานโหว่นี้ส่วนใหญ่เป็นความพิการที่เกิดขึ้นบริเวณใบหน้าและขากรรไกร ไม่มีความผิดปกติของสมอง พบว่า เมื่อได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีพัฒนาการที่ดี สามารถอยู่ร่วมกับกับผู้อื่นในสังคมและสามารถเป็นกำลังสำคัญแก่ประเทศชาติและสังคมได้ในที่สุด
การรักษาความพิการจากปากแหว่งเพดานโหว่จำเป็นต้องอาศัยสหสาขาวิชาชีพ ได้แก่ศัลยแพทย์ช่องปากและใบหน้า ศัลยแพทย์พลาสติก วิสัญญีแพทย์ กุมารแพทย์ ทันตแพทย์เด็ก จิตแพทย์ นักอรรถบำบัด และทันแพทย์จัดฟัน โดยมีระยะเวลาในการรักษาและฟื้นฟูยาวนาน
ในปี 2547 สภากาชาดไทย กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ร่วมมือจัดทำโครงการ “ยิ้มสวยเสียงใส” ขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 50 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเร่งค้นหาผู้ป่วยที่เป็นโรคปากแหว่ง เพดานโหว่ และนำเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัด เพื่อลดความพิการบนใบหน้า และสามารถพูดออกเสียงได้เหมือนคนปกติ มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 มกราคม 2547 - 30 กันยายน 2551
และถึงแม้ว่าโครงการ “ยิ้มสวยเสียงใส” ในพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังคงค้นหาผู้ป่วยและนำเข้ารับการรักษา โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนค่ารักษาพยาบาลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภากาชาดไทยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับผู้ป่วยที่มาเข้ารับการรักษา
เนื่องจากทันตแพทย์จัดฟันมีจำนวนน้อยและมักอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ในบางจังหวัด จึงทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมจัดฟัน สมาคมทันตแพทย์จัดฟันจึงได้จัดโครงการ “ทันตกรรมจัดฟันสัญจรเพื่อผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่” ขึ้น ได้เริ่มดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 โดยพาทันตแพทย์และทันตแพทย์จัดฟันที่มีจิตอาสาไปจัดฟัน ไปดูแลสุขภาพในช่องปากแก่ผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เดือนละครั้ง ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ในโอกาสอันเป็นมงคลครบรอบ 30 ปีของการก่อตั้งสมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งประเทศไทยสมาคม โดยคณะกรรมการสมาคมได้มีมติให้มอบเงินจำนวน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) ให้กับสภากาชาดไทย เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ เป็นการทำบุญวันเกิดของสมาคมฯ และสมาคมฯขอเชิญประชาชน หน่วยงานราชการและภาคเอกชนที่มีจิตเมตตา มามีส่วนร่วมสนับสนุนช่วยเหลือผู้ป่วยเหล่านี้ให้ได้มีโอกาสมารับการรักษา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีความลำบากน้อยลงและสามารถดำรงชีวิตในสังคมในสภาพที่มีทั้งร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ขึ้น โดยสามารถบริจาคให้กับสภากาชาดไทยชื่อบัญชี “สภากาชาดไทย (โครงการศัลยกรรมตกแต่งแก้ไขปากแหว่งเพดานโหว่และความพิการอื่น)” เลขที่ 045-2-88000-6 โอนเงินแล้ว Fax สำเนาการโอนมาที่ 02-2564069 หรือ 02-2564064 พร้อมชื่อ ที่อยู่ของผู้บริจาค จากนั้นสภากาชาดไทยจะส่งใบเสร็จไปตามที่อยู่ที่แจ้งไว้
เชิญชวนทุกท่านมาร่วมทำบุญกันครับ.