รมว.สาธารณสุข เผย ขณะนี้มีเด็กไทยเกิดใหม่ มีปัญหาปากแหว่งเพดานโหว่ปีละประมาณ 1,000 คน เร่งป้องกันโดยหนุนให้คนไทยกินผักผลไม้สดให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ เพื่อเพิ่มสารโฟเลท และหลีกเลี่ยงการแต่งงานในหมู่ญาติ ชี้ โรคนี้มีโอกาสเกิดซ้ำในครรภ์ต่อไปร้อยละ 3-5
วันนี้ (7 ก.พ. ) ที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จ.นครนายก นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดโครงการผ่าตัดแก้ไขความพิการในเด็กที่มีปัญหาปากแหว่งเพดานโหว่ และพิการอื่นๆ ซึ่งเป็นโครงการบริการฟรีของอาสาสมัครแพทย์ พยาบาลไทย และนานาชาติกว่า 60 คน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดศัลยกรรมจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในต่างประเทศ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษา ใน พ.ศ.2554 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษาใน พ.ศ.2555 มีเป้าหมายผ่าตัด 200 ราย ดำเนินการที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จ.นครนายก และที่โรงพยาบาลชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ระหว่างวันที่ 6-12 กุมภาพันธ์ 2555 นี้
นพ.สุรวิทย์ กล่าวว่า โรคปากแหว่ง (Cleft lip) เพดานโหว่ ( Cleftpalate) เป็นความพิการของใบหน้าที่พบมากที่สุดปีละประมาณ 1,000 คน ส่วนใหญ่พบในครอบครัวที่มีฐานะยากจน จากการศึกษาในไทย พบเด็กปากแหว่ง ได้ 1 ใน 600 ของเด็กแรกเกิด ส่วนเพดานโหว่ พบได้ 1ใน 2,500 ของเด็กแรกเกิด พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สาเหตุการเกิดเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น ขาดสารอาหาร การสูบบุหรี่ เป็นต้น โดยมีโอกาสเกิดปัญหาซ้ำในครรภ์ถัดไปได้ร้อยละ 3-5
“เด็กที่ปากแหว่งเพดานโหว่ จะมีปัญหาหลายอย่าง ได้แก่ การดูดและกลืนนมและอาหารลำบาก จะมีปัญหาปอดติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากการสำลักอาหารเข้าทางเดินหายใจ การรักษาให้ได้ผลดี ต้องผ่าตัดเย็บปิดรอยแหว่งและช่องโหว่ตั้งแต่ยังเล็กเด็กปากแหว่งควรได้รับผ่าตัดเมื่ออายุ 3-6เดือนส่วนเด็กเพดานโหว่ควรผ่าตัดเมื่ออายุ 9เดือน - 1 ขวบครึ่ง หากได้รับการผ่าตัดช้าจะทำให้การฝึกพูดให้ชัดเจนเหมือนคนปกติ เป็นไปได้ยากซึ่งในปี 2555 นี้ ได้จัดงบประมาณในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจำนวน 16 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย การผ่าตัด การใส่เพดานเทียม การดูแลจัดฟัน การฟื้นฟูแก้ไขการพูด การได้ยินจะทำให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติ แทบไม่เหลือความพิการให้เห็นเลย ตั้งแต่ปี 2550-2554 ได้ผ่าตัดรักษาผู้ป่วยประเภทนี้แล้ว 6,901 ราย” นพ.สุรวิทย์ กล่าว
รมช.สธ.กล่าวด้วยว่า โรคดังกล่าวป้องกันได้โดยก่อนตั้งครรภ์ให้ปรึกษาแพทย์โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงคือผู้ที่มีประวัติครอบครัว มีพ่อหรือแม่ พี่ น้อง หรือญาติฝ่ายพ่อ ฝ่ายแม่ที่มีปากแหว่งเพดานโหว่และควรหลีกเลี่ยงการแต่งงานในเครือญาติและมีผลการศึกษาวิจัยในหลายประเทศ พบว่า กรดโฟลิค หรือโฟเลท ซึ่งเป็นวิตามินชนิดหนึ่ง มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคนี้ หากระดับโฟเลทต่ำจะเสี่ยงต่อการเกิดความพิการแต่กำเนิด เช่น ภาวะหลอดประสาทพิการและปากแหว่งเพดานโหว่ ดังนั้น ในการป้องกันเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ได้แนะนำให้หญิงวัยเจริญพันธุ์กินกรดโฟลิคเพิ่ม เริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน และช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์และมีนโยบายสนับสนุนให้คนไทยกินผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ เนื่องจากกรดโฟลิคจะมีมากในผัก-ผลไม้สด เช่น มะเขือเทศ ผักตระกูลกะหล่ำ แตงกวา แครอท ถั่วฝักยาวถั่วเหลือง ถั่วเขียว ส้ม องุ่น
วันนี้ (7 ก.พ. ) ที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จ.นครนายก นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดโครงการผ่าตัดแก้ไขความพิการในเด็กที่มีปัญหาปากแหว่งเพดานโหว่ และพิการอื่นๆ ซึ่งเป็นโครงการบริการฟรีของอาสาสมัครแพทย์ พยาบาลไทย และนานาชาติกว่า 60 คน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดศัลยกรรมจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในต่างประเทศ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษา ใน พ.ศ.2554 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษาใน พ.ศ.2555 มีเป้าหมายผ่าตัด 200 ราย ดำเนินการที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จ.นครนายก และที่โรงพยาบาลชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ระหว่างวันที่ 6-12 กุมภาพันธ์ 2555 นี้
นพ.สุรวิทย์ กล่าวว่า โรคปากแหว่ง (Cleft lip) เพดานโหว่ ( Cleftpalate) เป็นความพิการของใบหน้าที่พบมากที่สุดปีละประมาณ 1,000 คน ส่วนใหญ่พบในครอบครัวที่มีฐานะยากจน จากการศึกษาในไทย พบเด็กปากแหว่ง ได้ 1 ใน 600 ของเด็กแรกเกิด ส่วนเพดานโหว่ พบได้ 1ใน 2,500 ของเด็กแรกเกิด พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สาเหตุการเกิดเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น ขาดสารอาหาร การสูบบุหรี่ เป็นต้น โดยมีโอกาสเกิดปัญหาซ้ำในครรภ์ถัดไปได้ร้อยละ 3-5
“เด็กที่ปากแหว่งเพดานโหว่ จะมีปัญหาหลายอย่าง ได้แก่ การดูดและกลืนนมและอาหารลำบาก จะมีปัญหาปอดติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากการสำลักอาหารเข้าทางเดินหายใจ การรักษาให้ได้ผลดี ต้องผ่าตัดเย็บปิดรอยแหว่งและช่องโหว่ตั้งแต่ยังเล็กเด็กปากแหว่งควรได้รับผ่าตัดเมื่ออายุ 3-6เดือนส่วนเด็กเพดานโหว่ควรผ่าตัดเมื่ออายุ 9เดือน - 1 ขวบครึ่ง หากได้รับการผ่าตัดช้าจะทำให้การฝึกพูดให้ชัดเจนเหมือนคนปกติ เป็นไปได้ยากซึ่งในปี 2555 นี้ ได้จัดงบประมาณในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจำนวน 16 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย การผ่าตัด การใส่เพดานเทียม การดูแลจัดฟัน การฟื้นฟูแก้ไขการพูด การได้ยินจะทำให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติ แทบไม่เหลือความพิการให้เห็นเลย ตั้งแต่ปี 2550-2554 ได้ผ่าตัดรักษาผู้ป่วยประเภทนี้แล้ว 6,901 ราย” นพ.สุรวิทย์ กล่าว
รมช.สธ.กล่าวด้วยว่า โรคดังกล่าวป้องกันได้โดยก่อนตั้งครรภ์ให้ปรึกษาแพทย์โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงคือผู้ที่มีประวัติครอบครัว มีพ่อหรือแม่ พี่ น้อง หรือญาติฝ่ายพ่อ ฝ่ายแม่ที่มีปากแหว่งเพดานโหว่และควรหลีกเลี่ยงการแต่งงานในเครือญาติและมีผลการศึกษาวิจัยในหลายประเทศ พบว่า กรดโฟลิค หรือโฟเลท ซึ่งเป็นวิตามินชนิดหนึ่ง มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคนี้ หากระดับโฟเลทต่ำจะเสี่ยงต่อการเกิดความพิการแต่กำเนิด เช่น ภาวะหลอดประสาทพิการและปากแหว่งเพดานโหว่ ดังนั้น ในการป้องกันเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ได้แนะนำให้หญิงวัยเจริญพันธุ์กินกรดโฟลิคเพิ่ม เริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน และช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์และมีนโยบายสนับสนุนให้คนไทยกินผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ เนื่องจากกรดโฟลิคจะมีมากในผัก-ผลไม้สด เช่น มะเขือเทศ ผักตระกูลกะหล่ำ แตงกวา แครอท ถั่วฝักยาวถั่วเหลือง ถั่วเขียว ส้ม องุ่น