“สุชาติ” เปิดใจเคลียร์ข่าว แจงยิบทุกรายละเอียด ย้ำ เนื้อข่าวที่ลงไม่ผิด แต่ติที่บางฉบับ พาดหัวรุนแรง ส่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ แต่ยันถ้าไม่หาคนดีมาพัฒนาประเทศก็รอดยากพร้อมเผยที่มาของทรัพย์สิน ชี้ไม่ใช่เรื่องแปลก 3 ปี เพิ่ม 14 ล้าน
วันนี้ (27 มิ.ย.) นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แถลงเปิดใจกรณีให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีชื่อถูกปรับพ้นเก้าอี้ รมว.ศึกษาธิการ และกรณีที่กล่าวว่า “กรณีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่โดนสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยื่นถอนประกันคดีก่อการร้าย ปี 2553 ตลอดการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อาจทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หลายคนถูกถอดถอนและเป็นเหตุให้พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องถูกยุบพรรค รวมถึงปัญหาการแบ่งแยกสีก็ยังไม่จบสิ้นลง และดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้น และจะส่งผลให้รัฐบาลอยู่พ้นสิ้นปีนี้ก็ทำได้ลำบาก” ซึ่งเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ในเช้าวันนี้
โดย นายสุชาติ กล่าวว่า กรณีที่มีข่าวปรากฏนั้น เนื้อหารายละเอียดที่ลงไปนั้น ถูกต้องตามที่ตนได้ให้สัมภาษณ์ แต่เพราะเห็นว่ามีการพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์อยู่ 2 ฉบับ คือ หนังสือพิมพ์แนวหน้า และหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการรายวัน ที่อาจจะทำให้สาธารณชนแปลกใจ ซึ่งอยากชี้แจงว่า ตนให้สัมภาษณ์ในประเด็นนี้ 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงแรกในห้องประชุมปฏิบัติการ ศธ.หรือ ห้อง MOC ที่ถามถึงการมีชื่อถูกปรับคณะรัฐมนตรี และช่วงเวลาที่ 2 คือ ช่วงที่อยู่นอกห้องและมีการวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหากับเนื้อหารายละเอียดของข่าวที่ลงไป เพียงแต่อยากจะติติงในส่วนที่มีการพาดหัวข่าว ส่วนที่ตนวิเคราะห์การเมืองนั้น ก็ยืนยันสิ่งที่วิเคราะห์ไปว่าต่อไปรัฐบาลจะอยู่ลำบาก
ในส่วนของ นสพ.แนวหน้า นั้น อยากให้แก้ข่าวที่บอกว่า “ฉุนถูกปรับออก สุชาติของขึ้น จวกเละ “ปู” รอดยาก” ซึ่งเป็นประโยคที่ไม่ยุติธรรม และเป็นประโยคหมิ่นประมาท ที่ผ่านมา ตนตั้งอยู่ในศีลธรรมมาโดยตลอด และพูดเสมอว่า ไม่ต้องการอะไรจากการมีตำแหน่งนี้ นอกจากการยังประโยชน์เพื่อพี่น้องส่วนใหญ่ อีกทั้งการวิเคราะห์รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า อยู่ยากก็พูดข้างนอก แต่ก็ยืนยันการวิเคราะห์ดังกล่าว เพราะเป็นการยกกรณีของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งก็มีหลายท่านที่ยกตัวอย่างนี้ เช่น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะฉะนั้น ยืนยันว่า การวิเคราะห์ว่าต่อไปรัฐบาลจะอยู่ยากขึ้น ถ้าไม่ได้มีการดูแลชาติบ้านเมืองตามกฎกติกาที่ยุติธรรม หาคนดีๆ พัฒนาประเทศยาก เพราะไม่รู้จะมาทำไมก็เหลือแต่นักการเมืองแบบเดิมๆ
“ฝากบอกว่าผมไม่เคยฉุน เพราะผมเป็นคนให้ข่าวเอง และด้วยความจริงใจ บางครั้งผมไม่รู้ว่าผมอยู่ที่นี่ไปทำไม ผมไม่เคยมาหาสตางค์สักบาท ไม่เคยมาโยกย้ายคนไม่เป็นธรรมเลย ทั้งๆ ที่มีข่าวบางข่าวที่น่าจะโยกย้ายเขาได้ผมก็ไม่ทำเลย ผมรอข้อเท็จจริงเป็นเพราะว่า การโยกย้ายข้าราชการจะทึกทักตามอำเภอใจไม่ได้ มันต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ให้ชัดเจน เพราะเขาทำงานต่างๆ มา 30-40 ปีแล้ว นักการเมืองแค่ไม่พอใจจะเอาหลักฐาน 2-3 ชิ้นไปขายลงหน้าหนังสือพิมพ์แล้วโยกย้ายเขาได้ ใครจะทำงานให้ชาติบ้านเมืองต่อไป ผมเข้ามาเมื่อ 5 เดือนที่แล้ว กระทรวงแย่กว่านี้เยอะ คนมาวิ่งเต้นจะให้สตางค์ทอนกัน มาวิ่งเต้นโยกย้าย คนเต็มหน้าห้องรัฐมนตรีในอดีตไปหมด เดี๋ยวนี้มีใครมาวิ่งเต้นขายของหน้าห้องผมไหม? ฝากขอให้ นสพ.แนวหน้า แก้ข่าว ผมตั้งใจทำงานถึงเวลาผมก็จะวางอุเบกขา” นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับ นสพ.ASTV ผู้จัดการรายวัน นั้น อยากต่อว่าเรื่องพาดหัวข่าวเล็กน้อย โดยเฉพาะในย่อหน้าที่ 2 ที่ระบุว่า “ควงเมียรวยเงียบ 3 ปี รวยขึ้น 16.5 ล้าน” โดยเอาไปต่อกับส่วนของการให้สัมภาษณ์เรื่องปรับ ครม.และการวิเคราะห์รัฐบาล ซึ่งมองว่าไม่ถูกต้อง แต่กรณีที่เสนอข่าวเรื่องการตรวจสอบทรัพย์สินนั้นตนไม่ได้มีปัญหาใด และยังไม่ได้อ่านรายละเอียดทั้งหมด แต่ก็เป็นการดีที่ใส่รายละเอียดที่จะนำเสนอลงไปด้วย เพียงแต่ติงว่าควรจะมีการเปรียบเทียบข้อมูลเก่าและใหม่ด้วย โดยขณะนี้ตนกำลังทำรายละเอียดบัญชีทรัพย์สินของตนและคู่สมรส คือ นางวัชรี ธาดาธำรงเวช เสนอให้กับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวเป็นการไปตรวจสอบเมื่อตนพ้นจากตำแหน่ง รมว.กระทรวงการคลัง ครบ 1 ปี (1 ธันวาคม 2552) ในขณะนั้นมีทรัพย์สินจำนวน 16.2 ล้านบาท ต่อมาเมื่อดำรงตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปี 2554 มีทรัพย์สินจำนวน 28.3 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากเดิม 12 ล้านบาท จากนั้นในเดือนมกราคม 2555 มีทรัพย์สิน 30.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ตนมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาท เพราะฉะนั้น รวมทั้งหมดแล้วมีทรัพย์สินเพิ่ม 14 ล้านบาท ไม่ใช่ 16.2 ล้านบาท ดังที่พาดหัวข่าวซึ่งมองว่าเป็นการพาดหัวในทางลบ
“3 ปีผ่านไปเพิ่ม 14 ล้าน ก็ไม่เห็นผิดปกติอะไร ปกติเราทำงานราชการก็มีการซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)/กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งในตอนที่ตรวจสอบบางกองทุนราคาขึ้นเยอะมาก ได้กำไรเท่าตัว และผมได้มีการขายไปเมื่อครบกำหนดเวลา 5 ปี ส่วนใหญ่จะขายในส่วน LTF อีกอันหนึ่งผมขายหุ้นบริษัท โรงกลั่นระยอง ตอนนี้เปลี่ยนชื่อใหม่ PTTGC ซึ่งในขณะนั้นเป็นกรรมการอยู่ ดังนั้น ระหว่างที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี (รมต.) ก็ไปเป็นกรรมการบริษัทหลายที่ ทำให้มีรายได้ปีหนึ่งกว่า 10 ล้านบาท อีกทั้งกำไรจากการขายหุ้น บ.ระยอง ได้มากว่า 3 ล้านบาท ไหนจะรายได้จากการขายหนังสือที่เขียน รายได้ที่ไปเป็นอาจารย์พิเศษ สอนที่มหาวิทยาลัย (ม.) ทักษิณ ม.วไลยลงกรณ์ ฯลฯ ซึ่งรายได้เหล่านี้ไม่ต้องรวมภาษีตามกฎหมาย เพราะฉะนั้น เชื่อว่า รายได้ปกติปีละ 2-3 ล้านบาท ไม่ผิดปกติ อีกทั้งเงินเดือนผมเดือนละ 7-8 หมื่นบาท ก็ใน 1 ปี ก็ประมาณ 8-9 แสนบาท ภรรยาก็รายได้ 6-7 หมื่นบาท อยากฝากว่าขอให้เชื่อว่ามีคนดีอยากมารับใช้ประเทศบ้าง การเขียนแบบนี้ไม่แฟร์ ไม่ยุติธรรม หากจะวิเคราะห์ก็ขอให้มีการเปรียบเทียบด้วย” นายสุชาติ กล่าว
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนได้รายงานให้นายกฯ ทราบผ่านทาง SMS ว่า ได้ให้ข่าวไปตามนั้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้ไปรับโล่ศิษย์เก่าดีเด่น จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ซึ่งในช่วงหนึ่ง ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี มธ.ยังได้อ่านคำสดุดี ว่า ได้ทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองเป็นที่ยอมรับของทุกวงการ แม้แต่วงการศาสนาก็ยอมรับ ส่วนวงการครูก็เป็นที่รู้กันว่าผมได้เข้ามาขจัดปัญหาการวิ่งเต้นโยกย้าย
วันนี้ (27 มิ.ย.) นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แถลงเปิดใจกรณีให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีชื่อถูกปรับพ้นเก้าอี้ รมว.ศึกษาธิการ และกรณีที่กล่าวว่า “กรณีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่โดนสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยื่นถอนประกันคดีก่อการร้าย ปี 2553 ตลอดการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อาจทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หลายคนถูกถอดถอนและเป็นเหตุให้พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องถูกยุบพรรค รวมถึงปัญหาการแบ่งแยกสีก็ยังไม่จบสิ้นลง และดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้น และจะส่งผลให้รัฐบาลอยู่พ้นสิ้นปีนี้ก็ทำได้ลำบาก” ซึ่งเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ในเช้าวันนี้
โดย นายสุชาติ กล่าวว่า กรณีที่มีข่าวปรากฏนั้น เนื้อหารายละเอียดที่ลงไปนั้น ถูกต้องตามที่ตนได้ให้สัมภาษณ์ แต่เพราะเห็นว่ามีการพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์อยู่ 2 ฉบับ คือ หนังสือพิมพ์แนวหน้า และหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการรายวัน ที่อาจจะทำให้สาธารณชนแปลกใจ ซึ่งอยากชี้แจงว่า ตนให้สัมภาษณ์ในประเด็นนี้ 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงแรกในห้องประชุมปฏิบัติการ ศธ.หรือ ห้อง MOC ที่ถามถึงการมีชื่อถูกปรับคณะรัฐมนตรี และช่วงเวลาที่ 2 คือ ช่วงที่อยู่นอกห้องและมีการวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหากับเนื้อหารายละเอียดของข่าวที่ลงไป เพียงแต่อยากจะติติงในส่วนที่มีการพาดหัวข่าว ส่วนที่ตนวิเคราะห์การเมืองนั้น ก็ยืนยันสิ่งที่วิเคราะห์ไปว่าต่อไปรัฐบาลจะอยู่ลำบาก
ในส่วนของ นสพ.แนวหน้า นั้น อยากให้แก้ข่าวที่บอกว่า “ฉุนถูกปรับออก สุชาติของขึ้น จวกเละ “ปู” รอดยาก” ซึ่งเป็นประโยคที่ไม่ยุติธรรม และเป็นประโยคหมิ่นประมาท ที่ผ่านมา ตนตั้งอยู่ในศีลธรรมมาโดยตลอด และพูดเสมอว่า ไม่ต้องการอะไรจากการมีตำแหน่งนี้ นอกจากการยังประโยชน์เพื่อพี่น้องส่วนใหญ่ อีกทั้งการวิเคราะห์รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า อยู่ยากก็พูดข้างนอก แต่ก็ยืนยันการวิเคราะห์ดังกล่าว เพราะเป็นการยกกรณีของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งก็มีหลายท่านที่ยกตัวอย่างนี้ เช่น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะฉะนั้น ยืนยันว่า การวิเคราะห์ว่าต่อไปรัฐบาลจะอยู่ยากขึ้น ถ้าไม่ได้มีการดูแลชาติบ้านเมืองตามกฎกติกาที่ยุติธรรม หาคนดีๆ พัฒนาประเทศยาก เพราะไม่รู้จะมาทำไมก็เหลือแต่นักการเมืองแบบเดิมๆ
“ฝากบอกว่าผมไม่เคยฉุน เพราะผมเป็นคนให้ข่าวเอง และด้วยความจริงใจ บางครั้งผมไม่รู้ว่าผมอยู่ที่นี่ไปทำไม ผมไม่เคยมาหาสตางค์สักบาท ไม่เคยมาโยกย้ายคนไม่เป็นธรรมเลย ทั้งๆ ที่มีข่าวบางข่าวที่น่าจะโยกย้ายเขาได้ผมก็ไม่ทำเลย ผมรอข้อเท็จจริงเป็นเพราะว่า การโยกย้ายข้าราชการจะทึกทักตามอำเภอใจไม่ได้ มันต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ให้ชัดเจน เพราะเขาทำงานต่างๆ มา 30-40 ปีแล้ว นักการเมืองแค่ไม่พอใจจะเอาหลักฐาน 2-3 ชิ้นไปขายลงหน้าหนังสือพิมพ์แล้วโยกย้ายเขาได้ ใครจะทำงานให้ชาติบ้านเมืองต่อไป ผมเข้ามาเมื่อ 5 เดือนที่แล้ว กระทรวงแย่กว่านี้เยอะ คนมาวิ่งเต้นจะให้สตางค์ทอนกัน มาวิ่งเต้นโยกย้าย คนเต็มหน้าห้องรัฐมนตรีในอดีตไปหมด เดี๋ยวนี้มีใครมาวิ่งเต้นขายของหน้าห้องผมไหม? ฝากขอให้ นสพ.แนวหน้า แก้ข่าว ผมตั้งใจทำงานถึงเวลาผมก็จะวางอุเบกขา” นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับ นสพ.ASTV ผู้จัดการรายวัน นั้น อยากต่อว่าเรื่องพาดหัวข่าวเล็กน้อย โดยเฉพาะในย่อหน้าที่ 2 ที่ระบุว่า “ควงเมียรวยเงียบ 3 ปี รวยขึ้น 16.5 ล้าน” โดยเอาไปต่อกับส่วนของการให้สัมภาษณ์เรื่องปรับ ครม.และการวิเคราะห์รัฐบาล ซึ่งมองว่าไม่ถูกต้อง แต่กรณีที่เสนอข่าวเรื่องการตรวจสอบทรัพย์สินนั้นตนไม่ได้มีปัญหาใด และยังไม่ได้อ่านรายละเอียดทั้งหมด แต่ก็เป็นการดีที่ใส่รายละเอียดที่จะนำเสนอลงไปด้วย เพียงแต่ติงว่าควรจะมีการเปรียบเทียบข้อมูลเก่าและใหม่ด้วย โดยขณะนี้ตนกำลังทำรายละเอียดบัญชีทรัพย์สินของตนและคู่สมรส คือ นางวัชรี ธาดาธำรงเวช เสนอให้กับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวเป็นการไปตรวจสอบเมื่อตนพ้นจากตำแหน่ง รมว.กระทรวงการคลัง ครบ 1 ปี (1 ธันวาคม 2552) ในขณะนั้นมีทรัพย์สินจำนวน 16.2 ล้านบาท ต่อมาเมื่อดำรงตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปี 2554 มีทรัพย์สินจำนวน 28.3 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากเดิม 12 ล้านบาท จากนั้นในเดือนมกราคม 2555 มีทรัพย์สิน 30.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ตนมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาท เพราะฉะนั้น รวมทั้งหมดแล้วมีทรัพย์สินเพิ่ม 14 ล้านบาท ไม่ใช่ 16.2 ล้านบาท ดังที่พาดหัวข่าวซึ่งมองว่าเป็นการพาดหัวในทางลบ
“3 ปีผ่านไปเพิ่ม 14 ล้าน ก็ไม่เห็นผิดปกติอะไร ปกติเราทำงานราชการก็มีการซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)/กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งในตอนที่ตรวจสอบบางกองทุนราคาขึ้นเยอะมาก ได้กำไรเท่าตัว และผมได้มีการขายไปเมื่อครบกำหนดเวลา 5 ปี ส่วนใหญ่จะขายในส่วน LTF อีกอันหนึ่งผมขายหุ้นบริษัท โรงกลั่นระยอง ตอนนี้เปลี่ยนชื่อใหม่ PTTGC ซึ่งในขณะนั้นเป็นกรรมการอยู่ ดังนั้น ระหว่างที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี (รมต.) ก็ไปเป็นกรรมการบริษัทหลายที่ ทำให้มีรายได้ปีหนึ่งกว่า 10 ล้านบาท อีกทั้งกำไรจากการขายหุ้น บ.ระยอง ได้มากว่า 3 ล้านบาท ไหนจะรายได้จากการขายหนังสือที่เขียน รายได้ที่ไปเป็นอาจารย์พิเศษ สอนที่มหาวิทยาลัย (ม.) ทักษิณ ม.วไลยลงกรณ์ ฯลฯ ซึ่งรายได้เหล่านี้ไม่ต้องรวมภาษีตามกฎหมาย เพราะฉะนั้น เชื่อว่า รายได้ปกติปีละ 2-3 ล้านบาท ไม่ผิดปกติ อีกทั้งเงินเดือนผมเดือนละ 7-8 หมื่นบาท ก็ใน 1 ปี ก็ประมาณ 8-9 แสนบาท ภรรยาก็รายได้ 6-7 หมื่นบาท อยากฝากว่าขอให้เชื่อว่ามีคนดีอยากมารับใช้ประเทศบ้าง การเขียนแบบนี้ไม่แฟร์ ไม่ยุติธรรม หากจะวิเคราะห์ก็ขอให้มีการเปรียบเทียบด้วย” นายสุชาติ กล่าว
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนได้รายงานให้นายกฯ ทราบผ่านทาง SMS ว่า ได้ให้ข่าวไปตามนั้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้ไปรับโล่ศิษย์เก่าดีเด่น จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ซึ่งในช่วงหนึ่ง ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี มธ.ยังได้อ่านคำสดุดี ว่า ได้ทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองเป็นที่ยอมรับของทุกวงการ แม้แต่วงการศาสนาก็ยอมรับ ส่วนวงการครูก็เป็นที่รู้กันว่าผมได้เข้ามาขจัดปัญหาการวิ่งเต้นโยกย้าย