ก.ค.ศ.มีมติให้ผู้สมัครสอบตำแหน่ง ผอ./รองผอ.ได้เลือกอันดับ ร.ร.5 แห่ง
ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการและผู้อำนวยการสถานศึกษาที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เปิดสอบและประกาศผลไปแล้วรอการบรรจุและแต่งตั้ง โดยมีผู้ที่สอบผ่านขึ้นบัญชีรวม 1,658 อัตรา จากตำแหน่งว่าง 2,495 อัตรา ที่จะบรรจุในปีงบประมาณ2554 ถึงปี 2556 ซึ่งจะบรรจุครั้งแรก 724 อัตรา และในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ จะเรียกผู้ที่สอบขึ้นบัญชีได้ใน 724 ลำดับแรกมาเลือกสถานศึกษาที่ได้เลือกไว้ 5 แห่งตอนสมัครสอบคัดเลือก
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นว่าในการเลือกสถานศึกษาเพื่อบรรจุแต่งตั้งในกรณีผู้ที่สถานศึกษาที่ได้เลือกไว้ 5 อันดับ ได้ถูกเลือกไปหมดโดยผู้ที่สอบขึ้นบัญชีได้ในลำดับที่ดีกว่าจะคงสิทธิ์การขึ้นบัญชีไว้ในบัญชีรวม สพฐ.และบัญชีในระดับเขตพื้นที่การศึกษา โดยลำดับจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ แต่กรณีผู้ที่สอบขึ้นบัญชีได้ไม่ยอมเลือกบรรจุแม้โรงเรียนที่เลือกไว้สามารถไปบรรจุได้จะถูกตัดสิทธิ์ในการขึ้นบัญชีทั้งบัญชีรวม สพฐ.และบัญชีระดับเขตพื้นที่การศึกษาเพราะถือว่าสละสิทธิ์
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวว่า มติของที่ประชุม ก.ค.ศ.ไม่ได้มีการปรับหลักเกณฑ์อะไรใหม่ เพราะหลักเกณฑ์นี้ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้ที่ผ่านการสรรหาขึ้นบัญชีเมื่อถึงลำดับที่จะได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง หากไม่สมัครใจที่จะรับการบรรจุและแต่งตั้ง หรือขอสละสิทธิ์สำหรับการบรรจุครั้งแรกต้องถูกยกเลิกบัญชีทั้งหมด เพียงแต่ว่าการพิจารณาวันนี้มาดูหลักเกณฑ์นี้จะไปรอดสิทธิ์กลุ่มไหนหรือไม่และในที่สุด ก็เห็นว่า หลักเกณฑ์ในเรื่องนี้เหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่า แนวโน้มของผู้ที่ผ่านการสรรหาขึ้นบัญชีได้จะสละสิทธิ์ เพราะรอที่จะไปบรรจุในครั้งที่ 2 เดือนตุลาคม ที่จะมีตำแหน่งบรรจุ 576 อัตรา เพื่อให้ได้บรรจุในโรงเรียนที่อยู่รอบใน หรือโรงเรียนที่ไม่ไกลนั้นจะมีน้อย และยิ่งหากสละสิทธิ์แล้วจะถูกตัดสิทธิ์การขึ้นบัญชี จึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครสละสิทธิ์ ซึ่งเรื่องนี้เมื่อกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ออกมาแล้วก็ต้องมีความเข้มงวดในการใช้เพราะไม่เช่นนั้นทุกคนก็จะรอเลือกบรรจุให้ได้โรงเรียนที่ดีที่สุด และจะทำให้มีตำแหน่งว่างในโรงเรียนต่างๆ เพราะไม่มีใครไปบรรจุเป็นจำนวนมาก
ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการและผู้อำนวยการสถานศึกษาที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เปิดสอบและประกาศผลไปแล้วรอการบรรจุและแต่งตั้ง โดยมีผู้ที่สอบผ่านขึ้นบัญชีรวม 1,658 อัตรา จากตำแหน่งว่าง 2,495 อัตรา ที่จะบรรจุในปีงบประมาณ2554 ถึงปี 2556 ซึ่งจะบรรจุครั้งแรก 724 อัตรา และในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ จะเรียกผู้ที่สอบขึ้นบัญชีได้ใน 724 ลำดับแรกมาเลือกสถานศึกษาที่ได้เลือกไว้ 5 แห่งตอนสมัครสอบคัดเลือก
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นว่าในการเลือกสถานศึกษาเพื่อบรรจุแต่งตั้งในกรณีผู้ที่สถานศึกษาที่ได้เลือกไว้ 5 อันดับ ได้ถูกเลือกไปหมดโดยผู้ที่สอบขึ้นบัญชีได้ในลำดับที่ดีกว่าจะคงสิทธิ์การขึ้นบัญชีไว้ในบัญชีรวม สพฐ.และบัญชีในระดับเขตพื้นที่การศึกษา โดยลำดับจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ แต่กรณีผู้ที่สอบขึ้นบัญชีได้ไม่ยอมเลือกบรรจุแม้โรงเรียนที่เลือกไว้สามารถไปบรรจุได้จะถูกตัดสิทธิ์ในการขึ้นบัญชีทั้งบัญชีรวม สพฐ.และบัญชีระดับเขตพื้นที่การศึกษาเพราะถือว่าสละสิทธิ์
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวว่า มติของที่ประชุม ก.ค.ศ.ไม่ได้มีการปรับหลักเกณฑ์อะไรใหม่ เพราะหลักเกณฑ์นี้ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้ที่ผ่านการสรรหาขึ้นบัญชีเมื่อถึงลำดับที่จะได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง หากไม่สมัครใจที่จะรับการบรรจุและแต่งตั้ง หรือขอสละสิทธิ์สำหรับการบรรจุครั้งแรกต้องถูกยกเลิกบัญชีทั้งหมด เพียงแต่ว่าการพิจารณาวันนี้มาดูหลักเกณฑ์นี้จะไปรอดสิทธิ์กลุ่มไหนหรือไม่และในที่สุด ก็เห็นว่า หลักเกณฑ์ในเรื่องนี้เหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นว่า แนวโน้มของผู้ที่ผ่านการสรรหาขึ้นบัญชีได้จะสละสิทธิ์ เพราะรอที่จะไปบรรจุในครั้งที่ 2 เดือนตุลาคม ที่จะมีตำแหน่งบรรจุ 576 อัตรา เพื่อให้ได้บรรจุในโรงเรียนที่อยู่รอบใน หรือโรงเรียนที่ไม่ไกลนั้นจะมีน้อย และยิ่งหากสละสิทธิ์แล้วจะถูกตัดสิทธิ์การขึ้นบัญชี จึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครสละสิทธิ์ ซึ่งเรื่องนี้เมื่อกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ออกมาแล้วก็ต้องมีความเข้มงวดในการใช้เพราะไม่เช่นนั้นทุกคนก็จะรอเลือกบรรจุให้ได้โรงเรียนที่ดีที่สุด และจะทำให้มีตำแหน่งว่างในโรงเรียนต่างๆ เพราะไม่มีใครไปบรรจุเป็นจำนวนมาก
