“สุชาติ” เรียกครูบดินทรฯ ที่โห่ไล่ “มงคลกิตติ์” รายงานสถานการณ์ ชมเปาะครูทำหน้าที่ดีที่สุด เผย กรณี ร.ร.ดัง 20 โรง ฟ้องแกนนำ ภตช.ส่วนตัวเห็นด้วยที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม ด้าน “ชินภัทร” เผย รอบบ่ายเปิด 1 ห้องเรียน มี นร.52 คน ย้ำ ต่อจากนี้ นร.ต้องรับผิดชอบผลการเรียนตัวเอง ออกโรงป้องครูบดินทรฯ มีคุณภาพทุกคนและไม่เลือกปฏิบัติ
วันนี้ (6 มิ.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้เรียก นายกวีชาติย์ จันทร์แพง ครูชำนาญการโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ที่มีกรณีปะทะคารมกับ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เลขาธิการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของชาติ ( ภตช. )ได้นำกลุ่มนักเรียนเก่าโรงเรียนบดินทรฯ ประมาณ 50 คน ที่ยังตกค้างไม่มีที่เรียนมารายงานตัวเพื่อเข้าเรียนวานนี้ (5 มิ.ย.) ว่า ทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสียง และเกิดมีปากเสียงกัน พร้อมกับไล่ให้ออกไปจากบริเวณโรงเรียน พร้อมด้วยครูโรงเรียนบดินทรฯ อีก 5 คน และนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เพื่อรายงานความคืบหน้ามาตรการเยียวยานักเรียนที่จบชั้น ม.3 โรงเรียนบดินทรฯ ที่มาแจ้งความจำนงเพื่อเข้าเรียนต่อชั้น ม.4 รอบบ่าย รวมถึงรายงานสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นวานนี้ โดยใช้เวลาพูดคุยประมาณ 30 นาที
โดย ศ.ดร.สุชาติ เปิดเผยภายหลังว่า ตนได้เรียกอาจารย์ที่อยู่ในเหตุการณ์เข้าพบ เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลนักเรียนอย่างเต็มที่ และถือว่า อาจารย์คนดังกล่าวทำดีที่สุดแล้ว ส่วนกรณีที่โรงเรียนดัง 20 โรงทยอยยื่นฟ้อง นายมงคลกิตติ์ นั้น ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า ทุกคนจะต้องต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและเกียรติยศศักดิ์ศรี ซึ่งมองว่า ทั้ง 20 โรงเรียน ก็ทำถูกต้องแล้ว เพื่อตัวของตนเองไม่ยอมให้ใครมาข่มขู่ทำร้าย เหมือนประเทศที่เจริญ แต่ถ้าใครข่มขู่ทำร้ายแล้วเรายอม เราก็ต้องเป็นทาสเขา ส่วนการแก้ปัญหาในปีหน้านั้น ตนมีนโยบายว่า จะขยายห้องเรียนชั้น ม.4 และให้เปิดสอนภาคบ่าย หากไม่พอให้เปิดภาคค่ำ ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ อาจารย์ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่โรงเรียนต้องมีความพร้อม และต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของ สพฐ.และยังคงต้องมีการสอบเข้าอยู่ แต่ที่ขยายห้องเพิ่มเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กต่างจังหวัดที่อยากเรียนโรงเรียนบดินทรฯ ได้มีโอกาสเข้าเรียนด้วย และต่อไปโรงเรียนบดินทรฯจะมีเกือบทุกจังหวัด ส่วนกรณี นายสุวัฒน์ วิวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบดินทรเดชา ลาออกจริงหรือไม่นั้น ตนยังไม่ทราบ แต่ตนอยากให้ นายสุวัฒน์ ทำงานต่อ เพราะถือว่าเป็นคนมีผลงาน
ด้านนายชินภัทร กล่าวว่า วันนี้ได้เรียกอาจารย์ที่อยู่ในเหตุการณ์มารายงานความคืบหน้าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปหมดแล้ว โดยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายที่ให้นักเรียนยื่นความประสงค์ที่จะเรียนต่อ ม.4 ในโรงเรียนบดินทรฯ รวม 52 คน ซึ่งเป็นนักเรียน ม.3 เดิมทั้งหมด โดยในปีการศึกษาหน้า จะผ่อนคลายกฎเกณฑ์การรับนักเรียน ม.4 โดยการเพิ่มที่นั่งในโรงเรียนดังมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า นักเรียนจะได้เรียนชั้น ม.4 เดิมแบบอัตโนมัติ ซึ่งนักเรียนต้องมีเกรดเฉลี่ยขั้นต่ำที่โรงเรียนกำหนดไว้ โดยจะประกาศให้ทราบก่อนหน้าการเปิดรับนักเรียน ซึ่งตัวนักเรียนเองจะต้องรับผิดชอบต่อผลการเรียนด้วย
“เด็กบดินทรฯจำนวน 52 คน ที่เข้าเรียนไปแล้วนั้น ต่อจากนี้ไปเด็กต้องรับผิดชอบผลการเรียนด้วยตนเองให้ได้ หากเรียนได้คะแนนน้อยกว่าร้อยละ 50 ก็จะติด 0 และให้สอบแก้ตัวสองครั้ง โดยจะให้เรียนภาคบ่าย และวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 08.00-14.00 น.ทั้งนี้ ยืนยันว่า ครูโรงเรียนบดินทรฯ มีความพร้อม และมีศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนอย่างแน่นอน และจะไม่เลือกปฏิบัติ โดยในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ทางโรงเรียนจะเชิญผู้ปกครองนักเรียนที่เรียนรอบบ่ายมาชี้แจงรายละเอียด พร้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนการสอนด้วย ซึ่งมั่นใจว่า เด็กกลุ่มนี้จะไม่มีปัญหากับเพื่อน เนื่องจากมีเพื่อนเก่าจากชั้น ม.3 เดิมค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ประเด็นของ นายสุวัฒน์ ยังยืนยันเช่นเดิม ว่า ไม่ได้มีการยื่นหนังสือลาออก เพราะที่ผ่านมา นายสุวัฒน์ ก็ทำงานดีและร่วมแก้ปัญหามาด้วยกันตลอด” นายชินภัทร กล่าว
ขณะที่นายกวีชาติย์ กล่าวว่า ตนยอมรับว่า นอตหลุด เพราะ นายมงคลกิตติ์ มาว่าครูโรงเรียนบดินทรฯ ไม่มีคุณภาพในการสอน โดยตนยืนยันว่า ครูโรงเรียนบดินทรฯทุกคน มีความพร้อม ส่วนนักเรียนที่เข้าร่วมประท้วงและได้กลับเข้ามาเรียนใหม่นั้น ต้องเข้าใจสถานการณ์ เพราะที่ผ่านมา ทางโรงเรียนพยายามเปิดรับ และให้โอกาสนักเรียนทุกชั้นเรียนมาตั้งแต่แรก แต่มีคนไปยั่วยุ จนสถานการณ์เลยเถิดมาถึงขนาดนี้ แต่ก็มั่นใจว่า นักเรียนจะเรียนร่วมกับเพื่อนได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะถึงอย่างไรนักเรียนก็เคยเรียนที่นี้มาถึง 3 ปี
ด้านนายมงคลกิตติ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีโรงเรียนดัง 20 โรงเรียนทยอยยื่นฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท โดยระบุว่า นายมงคลกิตติ์ ให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาณ “โรงเรียนรับแปะเจี๊ยะ” ว่า ต้องถามว่า ทางโรงเรียนฟ้องถูกคนหรือไม่ เพราะตนเองไม่เคยพูดชื่อโรงเรียนสักโรงเรียน และเอกสารที่ยื่นให้หน่วยงานต่างๆ ตรวจสอบนั้น ก็เป็นเอกสารลับทางราชการ ที่เปิดเผยไม่ได้ ดังนั้น หากจะฟ้องก็ต้องไปฟ้องสื่อมวลชนที่ไปแอบถ่ายรายชื่อโรงเรียนและนำไปเผยแพร่
“ผมไม่กังวลใจ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นการต่อสู้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และหากใครอยากฟ้องผมอีก ก็ขอให้ฟ้องมาได้เลย เพราะผมทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เชื่อว่า ศาลต้องยกฟ้องอยู่แล้ว” นายมงคลกิตติ์ กล่าว
วันนี้ (6 มิ.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น.ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้เรียก นายกวีชาติย์ จันทร์แพง ครูชำนาญการโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ที่มีกรณีปะทะคารมกับ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เลขาธิการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของชาติ ( ภตช. )ได้นำกลุ่มนักเรียนเก่าโรงเรียนบดินทรฯ ประมาณ 50 คน ที่ยังตกค้างไม่มีที่เรียนมารายงานตัวเพื่อเข้าเรียนวานนี้ (5 มิ.ย.) ว่า ทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสียง และเกิดมีปากเสียงกัน พร้อมกับไล่ให้ออกไปจากบริเวณโรงเรียน พร้อมด้วยครูโรงเรียนบดินทรฯ อีก 5 คน และนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เพื่อรายงานความคืบหน้ามาตรการเยียวยานักเรียนที่จบชั้น ม.3 โรงเรียนบดินทรฯ ที่มาแจ้งความจำนงเพื่อเข้าเรียนต่อชั้น ม.4 รอบบ่าย รวมถึงรายงานสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นวานนี้ โดยใช้เวลาพูดคุยประมาณ 30 นาที
โดย ศ.ดร.สุชาติ เปิดเผยภายหลังว่า ตนได้เรียกอาจารย์ที่อยู่ในเหตุการณ์เข้าพบ เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลนักเรียนอย่างเต็มที่ และถือว่า อาจารย์คนดังกล่าวทำดีที่สุดแล้ว ส่วนกรณีที่โรงเรียนดัง 20 โรงทยอยยื่นฟ้อง นายมงคลกิตติ์ นั้น ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า ทุกคนจะต้องต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและเกียรติยศศักดิ์ศรี ซึ่งมองว่า ทั้ง 20 โรงเรียน ก็ทำถูกต้องแล้ว เพื่อตัวของตนเองไม่ยอมให้ใครมาข่มขู่ทำร้าย เหมือนประเทศที่เจริญ แต่ถ้าใครข่มขู่ทำร้ายแล้วเรายอม เราก็ต้องเป็นทาสเขา ส่วนการแก้ปัญหาในปีหน้านั้น ตนมีนโยบายว่า จะขยายห้องเรียนชั้น ม.4 และให้เปิดสอนภาคบ่าย หากไม่พอให้เปิดภาคค่ำ ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ อาจารย์ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่โรงเรียนต้องมีความพร้อม และต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของ สพฐ.และยังคงต้องมีการสอบเข้าอยู่ แต่ที่ขยายห้องเพิ่มเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กต่างจังหวัดที่อยากเรียนโรงเรียนบดินทรฯ ได้มีโอกาสเข้าเรียนด้วย และต่อไปโรงเรียนบดินทรฯจะมีเกือบทุกจังหวัด ส่วนกรณี นายสุวัฒน์ วิวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบดินทรเดชา ลาออกจริงหรือไม่นั้น ตนยังไม่ทราบ แต่ตนอยากให้ นายสุวัฒน์ ทำงานต่อ เพราะถือว่าเป็นคนมีผลงาน
ด้านนายชินภัทร กล่าวว่า วันนี้ได้เรียกอาจารย์ที่อยู่ในเหตุการณ์มารายงานความคืบหน้าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปหมดแล้ว โดยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายที่ให้นักเรียนยื่นความประสงค์ที่จะเรียนต่อ ม.4 ในโรงเรียนบดินทรฯ รวม 52 คน ซึ่งเป็นนักเรียน ม.3 เดิมทั้งหมด โดยในปีการศึกษาหน้า จะผ่อนคลายกฎเกณฑ์การรับนักเรียน ม.4 โดยการเพิ่มที่นั่งในโรงเรียนดังมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า นักเรียนจะได้เรียนชั้น ม.4 เดิมแบบอัตโนมัติ ซึ่งนักเรียนต้องมีเกรดเฉลี่ยขั้นต่ำที่โรงเรียนกำหนดไว้ โดยจะประกาศให้ทราบก่อนหน้าการเปิดรับนักเรียน ซึ่งตัวนักเรียนเองจะต้องรับผิดชอบต่อผลการเรียนด้วย
“เด็กบดินทรฯจำนวน 52 คน ที่เข้าเรียนไปแล้วนั้น ต่อจากนี้ไปเด็กต้องรับผิดชอบผลการเรียนด้วยตนเองให้ได้ หากเรียนได้คะแนนน้อยกว่าร้อยละ 50 ก็จะติด 0 และให้สอบแก้ตัวสองครั้ง โดยจะให้เรียนภาคบ่าย และวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 08.00-14.00 น.ทั้งนี้ ยืนยันว่า ครูโรงเรียนบดินทรฯ มีความพร้อม และมีศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนอย่างแน่นอน และจะไม่เลือกปฏิบัติ โดยในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ทางโรงเรียนจะเชิญผู้ปกครองนักเรียนที่เรียนรอบบ่ายมาชี้แจงรายละเอียด พร้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนการสอนด้วย ซึ่งมั่นใจว่า เด็กกลุ่มนี้จะไม่มีปัญหากับเพื่อน เนื่องจากมีเพื่อนเก่าจากชั้น ม.3 เดิมค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ประเด็นของ นายสุวัฒน์ ยังยืนยันเช่นเดิม ว่า ไม่ได้มีการยื่นหนังสือลาออก เพราะที่ผ่านมา นายสุวัฒน์ ก็ทำงานดีและร่วมแก้ปัญหามาด้วยกันตลอด” นายชินภัทร กล่าว
ขณะที่นายกวีชาติย์ กล่าวว่า ตนยอมรับว่า นอตหลุด เพราะ นายมงคลกิตติ์ มาว่าครูโรงเรียนบดินทรฯ ไม่มีคุณภาพในการสอน โดยตนยืนยันว่า ครูโรงเรียนบดินทรฯทุกคน มีความพร้อม ส่วนนักเรียนที่เข้าร่วมประท้วงและได้กลับเข้ามาเรียนใหม่นั้น ต้องเข้าใจสถานการณ์ เพราะที่ผ่านมา ทางโรงเรียนพยายามเปิดรับ และให้โอกาสนักเรียนทุกชั้นเรียนมาตั้งแต่แรก แต่มีคนไปยั่วยุ จนสถานการณ์เลยเถิดมาถึงขนาดนี้ แต่ก็มั่นใจว่า นักเรียนจะเรียนร่วมกับเพื่อนได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะถึงอย่างไรนักเรียนก็เคยเรียนที่นี้มาถึง 3 ปี
ด้านนายมงคลกิตติ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีโรงเรียนดัง 20 โรงเรียนทยอยยื่นฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท โดยระบุว่า นายมงคลกิตติ์ ให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาณ “โรงเรียนรับแปะเจี๊ยะ” ว่า ต้องถามว่า ทางโรงเรียนฟ้องถูกคนหรือไม่ เพราะตนเองไม่เคยพูดชื่อโรงเรียนสักโรงเรียน และเอกสารที่ยื่นให้หน่วยงานต่างๆ ตรวจสอบนั้น ก็เป็นเอกสารลับทางราชการ ที่เปิดเผยไม่ได้ ดังนั้น หากจะฟ้องก็ต้องไปฟ้องสื่อมวลชนที่ไปแอบถ่ายรายชื่อโรงเรียนและนำไปเผยแพร่
“ผมไม่กังวลใจ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นการต่อสู้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และหากใครอยากฟ้องผมอีก ก็ขอให้ฟ้องมาได้เลย เพราะผมทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เชื่อว่า ศาลต้องยกฟ้องอยู่แล้ว” นายมงคลกิตติ์ กล่าว