สบส.รับหน้าเสื่อสางปม หลัง “เจ๊ปิ๊ก” พาเจ้าทุกข์เข้าร้อง สธ.กรณีลูกน้อยตายหลังคลอด 14 ชม.อ้างขาดออกซิเจน ด้านพยาบาล รพ.ทำคลอด เผย ที่ผ่านมา เด็กอาการปกติ แต่ที่เด็กตายแพทย์สันนิษฐานว่าเกิดจากการสำลักนมที่แม่เด็กอาจลอบชงให้เด็กทาน
วันนี้ (28 พ.ค.) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุล ได้พานายวรยุทธ์ ถาวรพร อายุ 40 ปี น.ส.ผุสชา แย้มศรี อายุ 24 ปี 2 สามีภรรยา เข้าร้องเรียนต่อ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม เนื่องมาจากภรรยาที่ตั้งครรภ์ 7 เดือนเศษ ได้ทำการคลอดบุตรแต่เสียชีวิตลง หลังคลอดได้ 14 ชั่วโมง โดยเบื้องต้นได้ฝากครรภ์ที่ รพ.วชิระ แต่ รพ.ได้แจ้งว่า อาจจะมีการคลอดก่อนกำหนด และต้องใช้ตู้อบแต่ตู้อบไม่เพียงพอ ทำให้ต้องส่งต่อไปที่ รพ.เอกชน แห่งหนึ่งย่านบางกรวย โดยได้พบแพทย์ต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง ก่อนที่แพทย์จะแจ้งว่าต้องคลอดก่อนกำหนด ภายหลังคลอดไม่ได้มีการนำเด็กใส่ตู้อบและแพทย์แจ้งว่าปกติดี โดยแม่เด็กได้ให้นมตามปกติ แต่มีการใส่ถุงครอบให้ออกซิเจนไว้ แต่พบว่าเด็กมีอาการเขียวเป็นจ้ำ เมื่อตามพยาบาลและแพทย์มาดู และมีการปั๊มหัวใจ แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ คาดว่า เกิดจากการขาดออกซิเจน
ด้าน นายวรยุทธ์ กล่าวว่า อยากให้ สธ.ช่วยตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของบุตรตนเองว่าเกิดจากสาเหตุอะไรแน่ เกิดจากความผิดพลาดประการใด ซึ่งตนจะขอดำเนินการทางกฎหมายไปตามกระบวนการช่องทางที่มี
นพ.สุขุม กาจญพิมาย รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า จะมีตรวจสอบเรื่องดังกล่าวตามที่มีการร้องเรียนมา โดยประสานขอข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย สำหรับการส่งต่อจากโรงพยาบาลใหญ่เป็นโรงพยาบาลเล็กนั้น เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพื่อกระจายความแออัดของโรงพยาบาล แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องมาตรฐานการให้บริการเป็นสำคัญด้วย โดยจะการตรวจคุณภาพทั้งเครื่องมือแพทย์ และการสอบสวนข้อมูลการทำหน้าที่ของ แพทย์ และพยาบาลพาร์ทไทม์ ตลอดจนข้อมูลความจำเป็นของการส่งต่อผู้ป่วยจาก รพ.แรก มายัง รพ.ที่เกิดเหตุ ไปพิจารณาเทียบเคียงกับมาตรฐาน ว่า เป็นไปตามที่ พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรมตามที่กำหนดหรือไม่ จึงจะสามารถพิจารณาฐานความผิดได้ คาดว่า จะสามารถได้ข้อยุติในวันที่ 29 พ.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสอบถามพยาบาลโรงพยาบาลดังกล่าว เปิดเผยว่า ผู้ป่วยได้ย้ายจาก รพ.รัฐบาลแห่งหนึ่ง มาที่ รพ.ที่ตนทำงานอยู่ ด้วยเหตุที่ว่าใช้สิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ ขณะที่ย้ายมานั้น คนไข้ได้แสดงสมุดการฝากครรภ์ว่ามีอายุครรภ์ได้ 35 สัปดาห์ และเมื่อคนไข้อายุครรภ์ได้ 37 สัปดาห์กับ 4 วัน แพทย์จึงทำคลอดให้ ซึ่งคนไข้ก็คลอดเองตามธรรมชาติ ในเวลา 16.15 น.ไม่ใช่การคลอดก่อนกำหนดอย่างที่เป็นข่าว ซึ่งภายหลังจากคลอดแล้วทาง รพ.ก็ให้คนไข้พักดูอาการต่ออีก 2 ชั่วโมงในห้องคลอด ถึงจะย้ายคนไข้ไปห้องพักฟื้น ซึ่งเป็นห้องแบบ 2 เตียงพัก
แหล่งข่าวรายเดิม กล่าวว่า เด็กคลอดออกมาด้วยน้ำหนัก 1.9 กิโลกรัม ซึ่งทาง รพ.ถือว่าน้ำหนักของเด็กนั้นปกติ จึงไม่จำเป็นต้องให้ออกซิเจน แต่ทาง รพ.ก็ให้กันไว้เพื่อความปลอดภัย ส่วนที่เป็นข่าวว่าถังออกซิเจนของ รพ.ออกซิเจน หมดนั้น ไม่เป็นความจริงเนื่องจากหลังจากให้ออกซิเจนเด็กเสร็จแล้วทาง รพ.ก็ยังได้นำออกซิเจนถังดังกล่าวไปใช้กับผู้ป่วยอีกราย ซึ่งในคืนที่เด็กเสียชีวิตนั้น ในเวลา 19.00 น.และเวลา 02.00 น.นั้น ทาง รพ.ก็ได้ส่งพยาบาลเข้าไปตรวจอาการของเด็กอยู่ตลอด ซึ่งอาการเด็กก็ยังปกติดี แต่พอเวลา 04.00 น. พยาบาลเข้าไปตรวจอีกทีเด็กก็มีอาการตัวเขียว พยาบาลจึงเรียกหมอที่ดูแลมาดูอาการ ซึ่งหมอคนดังกล่าวบอกตนว่า เด็กเกิดการสำลัก จึงทำการดูดของเสียออก ซึ่งพบว่ามีน้ำนมจำนวนมากออกมาจากการดูด ดังนั้น เบื้องต้นแพทย์สันนิษฐานว่า เกิดจากการสำลักนมที่ผู้เป็นแม่อาจลักลอบชงนมขวดให้เด็กทาน เด็กจึงเกิดอาการสำลักและเสียชีวิตในเวลา 04.30 น.
วันนี้ (28 พ.ค.) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุล ได้พานายวรยุทธ์ ถาวรพร อายุ 40 ปี น.ส.ผุสชา แย้มศรี อายุ 24 ปี 2 สามีภรรยา เข้าร้องเรียนต่อ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม เนื่องมาจากภรรยาที่ตั้งครรภ์ 7 เดือนเศษ ได้ทำการคลอดบุตรแต่เสียชีวิตลง หลังคลอดได้ 14 ชั่วโมง โดยเบื้องต้นได้ฝากครรภ์ที่ รพ.วชิระ แต่ รพ.ได้แจ้งว่า อาจจะมีการคลอดก่อนกำหนด และต้องใช้ตู้อบแต่ตู้อบไม่เพียงพอ ทำให้ต้องส่งต่อไปที่ รพ.เอกชน แห่งหนึ่งย่านบางกรวย โดยได้พบแพทย์ต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง ก่อนที่แพทย์จะแจ้งว่าต้องคลอดก่อนกำหนด ภายหลังคลอดไม่ได้มีการนำเด็กใส่ตู้อบและแพทย์แจ้งว่าปกติดี โดยแม่เด็กได้ให้นมตามปกติ แต่มีการใส่ถุงครอบให้ออกซิเจนไว้ แต่พบว่าเด็กมีอาการเขียวเป็นจ้ำ เมื่อตามพยาบาลและแพทย์มาดู และมีการปั๊มหัวใจ แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ คาดว่า เกิดจากการขาดออกซิเจน
ด้าน นายวรยุทธ์ กล่าวว่า อยากให้ สธ.ช่วยตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของบุตรตนเองว่าเกิดจากสาเหตุอะไรแน่ เกิดจากความผิดพลาดประการใด ซึ่งตนจะขอดำเนินการทางกฎหมายไปตามกระบวนการช่องทางที่มี
นพ.สุขุม กาจญพิมาย รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า จะมีตรวจสอบเรื่องดังกล่าวตามที่มีการร้องเรียนมา โดยประสานขอข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย สำหรับการส่งต่อจากโรงพยาบาลใหญ่เป็นโรงพยาบาลเล็กนั้น เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพื่อกระจายความแออัดของโรงพยาบาล แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องมาตรฐานการให้บริการเป็นสำคัญด้วย โดยจะการตรวจคุณภาพทั้งเครื่องมือแพทย์ และการสอบสวนข้อมูลการทำหน้าที่ของ แพทย์ และพยาบาลพาร์ทไทม์ ตลอดจนข้อมูลความจำเป็นของการส่งต่อผู้ป่วยจาก รพ.แรก มายัง รพ.ที่เกิดเหตุ ไปพิจารณาเทียบเคียงกับมาตรฐาน ว่า เป็นไปตามที่ พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรมตามที่กำหนดหรือไม่ จึงจะสามารถพิจารณาฐานความผิดได้ คาดว่า จะสามารถได้ข้อยุติในวันที่ 29 พ.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสอบถามพยาบาลโรงพยาบาลดังกล่าว เปิดเผยว่า ผู้ป่วยได้ย้ายจาก รพ.รัฐบาลแห่งหนึ่ง มาที่ รพ.ที่ตนทำงานอยู่ ด้วยเหตุที่ว่าใช้สิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ ขณะที่ย้ายมานั้น คนไข้ได้แสดงสมุดการฝากครรภ์ว่ามีอายุครรภ์ได้ 35 สัปดาห์ และเมื่อคนไข้อายุครรภ์ได้ 37 สัปดาห์กับ 4 วัน แพทย์จึงทำคลอดให้ ซึ่งคนไข้ก็คลอดเองตามธรรมชาติ ในเวลา 16.15 น.ไม่ใช่การคลอดก่อนกำหนดอย่างที่เป็นข่าว ซึ่งภายหลังจากคลอดแล้วทาง รพ.ก็ให้คนไข้พักดูอาการต่ออีก 2 ชั่วโมงในห้องคลอด ถึงจะย้ายคนไข้ไปห้องพักฟื้น ซึ่งเป็นห้องแบบ 2 เตียงพัก
แหล่งข่าวรายเดิม กล่าวว่า เด็กคลอดออกมาด้วยน้ำหนัก 1.9 กิโลกรัม ซึ่งทาง รพ.ถือว่าน้ำหนักของเด็กนั้นปกติ จึงไม่จำเป็นต้องให้ออกซิเจน แต่ทาง รพ.ก็ให้กันไว้เพื่อความปลอดภัย ส่วนที่เป็นข่าวว่าถังออกซิเจนของ รพ.ออกซิเจน หมดนั้น ไม่เป็นความจริงเนื่องจากหลังจากให้ออกซิเจนเด็กเสร็จแล้วทาง รพ.ก็ยังได้นำออกซิเจนถังดังกล่าวไปใช้กับผู้ป่วยอีกราย ซึ่งในคืนที่เด็กเสียชีวิตนั้น ในเวลา 19.00 น.และเวลา 02.00 น.นั้น ทาง รพ.ก็ได้ส่งพยาบาลเข้าไปตรวจอาการของเด็กอยู่ตลอด ซึ่งอาการเด็กก็ยังปกติดี แต่พอเวลา 04.00 น. พยาบาลเข้าไปตรวจอีกทีเด็กก็มีอาการตัวเขียว พยาบาลจึงเรียกหมอที่ดูแลมาดูอาการ ซึ่งหมอคนดังกล่าวบอกตนว่า เด็กเกิดการสำลัก จึงทำการดูดของเสียออก ซึ่งพบว่ามีน้ำนมจำนวนมากออกมาจากการดูด ดังนั้น เบื้องต้นแพทย์สันนิษฐานว่า เกิดจากการสำลักนมที่ผู้เป็นแม่อาจลักลอบชงนมขวดให้เด็กทาน เด็กจึงเกิดอาการสำลักและเสียชีวิตในเวลา 04.30 น.