ครม.มีมติเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา รับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 56 ในวงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท โดยตั้งงบเหมาจ่ายรายหัว สปสช.อยู่ที่ 2,755.60 บาทต่อคนลดจากปี 55 ก่อนปรับลดช่วยน้ำท่วมซึ่งตั้งไว้ที่ 2895.60 บาทต่อคน หรือลดลงร้อยละ 4.9 และมีการปรับลด หรือตัดงบชดเชยบริการด้านอื่นๆ อีก เช่น งบค่าบริการควบคุมป้องกันความรุนแรงของโรคเบาหวานความดันโลหิตสูง ได้รับ 410.0 ล้านบาทลดลงจากปี 55 ร้อยละ 6.35 และตัดงบควบคุมป้องกันปอดอุดตันเรื้อรังที่ตั้งไว้ 99.5 ล้านบาท งบบริการผู้ติดยาเสพติดที่ตั้งไว้ 195.2 ล้านบาท และงบบริการจิตเวชจำนวน 142.1 ล้านบาท ทั้งสามรายการถูกตัดงบออกหมด
นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เปิดเผยว่า จากเอกสารงบประมาณที่สำนักงบประมาณเตรียมเสนอสภาผู้แทนราษฎร ที่จะประชุมในระหว่างวันที่ 21-23 พ.ค.นี้ งบเหมาจ่ายรายหัว สปสช.ได้รับอนุมัติ 2,755.60 บาทต่อคน เป็นเงินหลังหักเงินเดือนหน่วยบริการของรัฐแล้วเหลือ 100,699 ล้านบาท ดูแลประชากรบัตรทอง 48.44 ล้านคน หรือคิดเป็น 2,078.83 บาทต่อคน ขณะที่ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ปี 55 นี้ รัฐบาลตั้งงบกลางไว้ให้ 66,000 ล้านบาท ดูแลข้าราชการและครอบครัวประมาณ 6 ล้านคน หรือเฉลี่ยคนละ 11,000 บาท คิดเป็น 5 เท่าของเงินที่รัฐบาลจัดสรรดูแลประชาชนทั่วไป ในระบบบัตรทอง เป็นการเพิ่มความเหลื่อมล้ำแตกต่างในเรื่องสิทธิประโยชน์ และการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพของประชาชนมากขึ้น และทำให้ระบบบัตรทองเหมือนระบบอนาถาในอดีตสวนทางกับนโยบายรัฐบาลที่สัญญาว่าจะเพิ่มคุณภาพของระบบบัตรทองและสร้างความเท่าเทียมของสามกองทุน
“การปรับลดงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว สปสช.ปี 56 ของรัฐบาลนับเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีนับแต่มีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นต้นมา และเกิดขึ้นพร้อมกับที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบายจะเก็บเงิน 30 บาทอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งสัญญาว่าจะเพิ่มคุณภาพการเข้าถึงบริการของระบบบัตรทองให้เท่าเทียมระบบสวัสดิการข้าราชการ ลดความเหลื่อมล้ำแตกต่างระหว่างสามกองทุนประกันสุขภาพของรัฐ ทำให้เกิดความแคลงใจว่า การที่รัฐบาลลดงบระบบบัตรทอง และเพิ่มงบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการให้มากขึ้น ทำให้เกิดความแตกต่างกันมากกว่าห้าเท่า จะทำให้เกิดความเท่าเทียมของประชาชนในการเข้าถึงคุณภาพบริการได้อย่างไร และการลดงบประมาณเหมาจ่ายขณะที่ภาวะเงินเฟ้อและการขึ้นค่าแรง ค่าครองชีพสูงขึ้น จะกระทบต่อฐานะการเงินของ รพ.ในระบบ สปสช.ในปีหน้าอย่างหนัก โดยเฉพาะ รพ.ของรัฐขนาดเล็กที่อยู่ตามอำเภอต่างๆ หลายร้อยแห่งส่วน รพ.ขนาดใหญ่ของรัฐ และ รพ.เอกชนจะหนีไปให้บริการข้าราชการ และชาวต่างประเทศตามนโยบาย medical hub ของรัฐบาลมากกว่า ซึ่งตอนนั้นระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคก็จะเป็นระบบอนาถาสำหรับประชาชนทั่วไป ซึ่งรัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ จะโยนบาปว่าเป็นเรื่องการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพของ รพ.ของรัฐ หรือของ สปสช.ไม่ได้” ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวย้ำ
นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท เปิดเผยว่า ชมรมแพทย์ชนบทเป็นห่วงถึงนโยบายฉุกเฉินไปที่ไหนก็ได้แต่เป็นห่วงว่าแง่ปฏิบัติจริงแล้วรัฐบาลให้ความจริงใจแค่ไหน หรือเป็นเพียงการหาเสียง เพราะมีความพยายามจะจำกัดให้เฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินที่เป็นอันตรายแก่ชีวิตไปที่ไหนก็ได้เท่านั้น ส่วนผู้ป่วยฉุกเฉินที่จำเป็นอื่นๆ อีกจำนวนมาก จะไม่ได้รับสิทธิ และมีแนวโน้มว่ากระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งกรมบัญชีกลางจะยอมขึ้นค่าชดเชยให้เอกชนมากกว่า 10,500 บาทต่อหนึ่ง น้ำหนัก DRG ตามแรงบีบของสมาคม รพ.เอกชน รวมทั้งมีประเด็นทางกฎหมายว่าการที่ คณะ กก.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ชุดใหม่ มีมติออกประกาศให้ใช้เงินจากกองทุน สปสช.ไปจ่ายชดเชยค่าบริการฉุกเฉินให้กับระบบประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการก่อนเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือไม่ เพราะกฎหมายกำหนดให้เงินกองทุน สปสช.ใช้ชดเชยให้ได้เฉพาะผู้ป่วยในระบบ สปสช.เท่านั้น
“รมว.สาธารณสุข ควรจะเสนอตั้งงบประมาณจากรัฐบาลเป็นกองทุนฉุกเฉินเพิ่มเติมสำหรับนโยบายนี้โดยเฉพาะ และมอบให้ สปสช.เป็น Clearing house ไม่ใช่ให้ใช้เงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสำรองจ่ายแทนกองทุนอื่นไปก่อนซึ่งกฎหมายไม่ได้อนุญาตให้ทำได้” อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าว
นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เปิดเผยว่า จากเอกสารงบประมาณที่สำนักงบประมาณเตรียมเสนอสภาผู้แทนราษฎร ที่จะประชุมในระหว่างวันที่ 21-23 พ.ค.นี้ งบเหมาจ่ายรายหัว สปสช.ได้รับอนุมัติ 2,755.60 บาทต่อคน เป็นเงินหลังหักเงินเดือนหน่วยบริการของรัฐแล้วเหลือ 100,699 ล้านบาท ดูแลประชากรบัตรทอง 48.44 ล้านคน หรือคิดเป็น 2,078.83 บาทต่อคน ขณะที่ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ปี 55 นี้ รัฐบาลตั้งงบกลางไว้ให้ 66,000 ล้านบาท ดูแลข้าราชการและครอบครัวประมาณ 6 ล้านคน หรือเฉลี่ยคนละ 11,000 บาท คิดเป็น 5 เท่าของเงินที่รัฐบาลจัดสรรดูแลประชาชนทั่วไป ในระบบบัตรทอง เป็นการเพิ่มความเหลื่อมล้ำแตกต่างในเรื่องสิทธิประโยชน์ และการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพของประชาชนมากขึ้น และทำให้ระบบบัตรทองเหมือนระบบอนาถาในอดีตสวนทางกับนโยบายรัฐบาลที่สัญญาว่าจะเพิ่มคุณภาพของระบบบัตรทองและสร้างความเท่าเทียมของสามกองทุน
“การปรับลดงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว สปสช.ปี 56 ของรัฐบาลนับเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีนับแต่มีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นต้นมา และเกิดขึ้นพร้อมกับที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบายจะเก็บเงิน 30 บาทอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งสัญญาว่าจะเพิ่มคุณภาพการเข้าถึงบริการของระบบบัตรทองให้เท่าเทียมระบบสวัสดิการข้าราชการ ลดความเหลื่อมล้ำแตกต่างระหว่างสามกองทุนประกันสุขภาพของรัฐ ทำให้เกิดความแคลงใจว่า การที่รัฐบาลลดงบระบบบัตรทอง และเพิ่มงบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการให้มากขึ้น ทำให้เกิดความแตกต่างกันมากกว่าห้าเท่า จะทำให้เกิดความเท่าเทียมของประชาชนในการเข้าถึงคุณภาพบริการได้อย่างไร และการลดงบประมาณเหมาจ่ายขณะที่ภาวะเงินเฟ้อและการขึ้นค่าแรง ค่าครองชีพสูงขึ้น จะกระทบต่อฐานะการเงินของ รพ.ในระบบ สปสช.ในปีหน้าอย่างหนัก โดยเฉพาะ รพ.ของรัฐขนาดเล็กที่อยู่ตามอำเภอต่างๆ หลายร้อยแห่งส่วน รพ.ขนาดใหญ่ของรัฐ และ รพ.เอกชนจะหนีไปให้บริการข้าราชการ และชาวต่างประเทศตามนโยบาย medical hub ของรัฐบาลมากกว่า ซึ่งตอนนั้นระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคก็จะเป็นระบบอนาถาสำหรับประชาชนทั่วไป ซึ่งรัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ จะโยนบาปว่าเป็นเรื่องการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพของ รพ.ของรัฐ หรือของ สปสช.ไม่ได้” ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวย้ำ
นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท เปิดเผยว่า ชมรมแพทย์ชนบทเป็นห่วงถึงนโยบายฉุกเฉินไปที่ไหนก็ได้แต่เป็นห่วงว่าแง่ปฏิบัติจริงแล้วรัฐบาลให้ความจริงใจแค่ไหน หรือเป็นเพียงการหาเสียง เพราะมีความพยายามจะจำกัดให้เฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉินที่เป็นอันตรายแก่ชีวิตไปที่ไหนก็ได้เท่านั้น ส่วนผู้ป่วยฉุกเฉินที่จำเป็นอื่นๆ อีกจำนวนมาก จะไม่ได้รับสิทธิ และมีแนวโน้มว่ากระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งกรมบัญชีกลางจะยอมขึ้นค่าชดเชยให้เอกชนมากกว่า 10,500 บาทต่อหนึ่ง น้ำหนัก DRG ตามแรงบีบของสมาคม รพ.เอกชน รวมทั้งมีประเด็นทางกฎหมายว่าการที่ คณะ กก.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ชุดใหม่ มีมติออกประกาศให้ใช้เงินจากกองทุน สปสช.ไปจ่ายชดเชยค่าบริการฉุกเฉินให้กับระบบประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการก่อนเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือไม่ เพราะกฎหมายกำหนดให้เงินกองทุน สปสช.ใช้ชดเชยให้ได้เฉพาะผู้ป่วยในระบบ สปสช.เท่านั้น
“รมว.สาธารณสุข ควรจะเสนอตั้งงบประมาณจากรัฐบาลเป็นกองทุนฉุกเฉินเพิ่มเติมสำหรับนโยบายนี้โดยเฉพาะ และมอบให้ สปสช.เป็น Clearing house ไม่ใช่ให้ใช้เงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสำรองจ่ายแทนกองทุนอื่นไปก่อนซึ่งกฎหมายไม่ได้อนุญาตให้ทำได้” อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าว