สมาคมครอบครัวศึกษา-นักวิชาการ ห่วง เทศกาลบอลยูโร เตือนครอบครัวเฝ้าระวัง สังเกต เด็ก เยาวชน คนในครอบครัว ดูให้เกิดประโยชน์ แต่เล่นพนัน คือ โทษมหันต์ แนะความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัวคือยาดี ในการป้องกันทุกปัญหา
วันนี้ (10 พ.ค. ) สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดการประชุมวิชาการครอบครัวศึกษา ครั้งที่ 4 “ปฏิบัติการครอบครัวไทยอบอุ่น” โดย พญ.พรรณพิมล วิปุลากร เลขาธิการสมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย ได้ทำการศึกษาสถานการณ์สุขภาวะของครอบครัวไทย ร่วมกับนักวิชาการจากสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล โดยได้ทำการศึกษาครอบครัวไทยทั่วทุกภาคของประเทศ ตั้งแต่ ปี 2552-2554 จำนวน 4,000 ครอบครัว เพื่อประเมินสุขภาวะครอบครัวที่จะเป็นผลสะท้อนให้เห็นระดับความอบอุ่นและความมีสุขภาวะที่ดีของคนไทย ผลจากการศึกษาพบสถานการณ์ที่ยังคงเป็นวัฏจักรที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ได้แก่ การเล่นการพนัน การซื้อลอตเตอรี่ หวยใต้ดิน และการดื่มสุรา โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากในขณะนี้ คือ การเล่นการพนัน เพราะผลจากการศึกษาปี 2554 มีครอบครัวที่มีสมาชิกเล่นการพนันถึงร้อยละ 26.7 และมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้นกว่า ปี 2553 (19.2%) และปี 2552 (23.8%)
พญ.พรรณพิมล กล่าวด้วยว่า สมาคมครอบครัวศึกษาฯ จึงมีความเป็นห่วงและวิตกกังวลกับเทศกาลบอลยูโรที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 มิ.ย.-1 ก.ค.นี้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีความสนใจในกีฬาฟุตบอล ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีหากเป็นการดูเพื่อเป็นแบบอย่างในการเล่นกีฬาและเพื่อความสนุกสนาน แต่หากเป็นการดูเพื่อการพนันก็จะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ เช่น การรักทรัพย์ อาชญากรรม ซึ่งเป็นผลจากความเครียดที่ต้องหาเงินมาจ่ายค่าพนันที่เสียไป ดังนั้น ครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเป็นผู้คอยดูแล สังเกต ให้คำปรึกษา และแนะนำคนในครอบครัวของตนเองได้อย่างดีที่สุด
ด้าน ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้วิจัยเรื่องสถานการณ์สุขภาวะครอบครัวไทย ปี 2554-2555 กล่าวว่า ปัจจุบันครอบครัวไทย ร้อยละ 23 ยังมีความบกพร่องในการทำหน้าที่สำคัญ คือ การเตรียมบุตรหลานของตนให้มีความรู้ ความสามารถเพียงพอในการที่จะปกป้องดูแลตนเอง ทั้งที่ครอบครัวเป็นหน่วยแรกที่ทุกคนหวังจะให้เป็นที่พึ่งพิงทั้งทางกายและจิตใจ การบกพร่องในการทำหน้าที่ของครอบครัวจึงเท่ากับสังคมได้ขาดกลไกสำคัญในการตั้งรับกับปัญหาที่มีความรุนแรง และสลับซับซ้อน โดยเฉพาะการตั้งรับกับปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่มีความรุนแรง และอีกประเด็นหนึ่งคือการเตรียมพร้อมเพื่อการดูแลตนเองในวัยสูงอายุ 2 ประเด็นสำคัญ ที่อยากให้ภาครัฐ เอกชน และทุกคนในสังคมมองปัญหาร่วมกัน ร่วมรับผิดชอบและลงมือทำ โดยคิดถึงประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของทุกคน
ศิวพร ปกป้อง ผู้อำนวยการงานวิจัยครอบครัวศึกษา สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวต่อว่า จากการทำงานด้านครอบครัวและชุมชนในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา ทางสมาคมฯ ได้มุ่งเน้นการสร้างฐานข้อมูลครอบครัวในระดับชุมชนโดยสมาชิกในชุมชนเอง โดยมีตัวบ่งชี้ชัดเจนว่า การพัฒนาและแก้ปัญหาของครอบครัวในแต่ละชุมชนมีความแตกต่างกันตามบริบททางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม โครงสร้างประชากร และวัฒนธรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการเรียนรู้ข้อมูลเหล่านี้ที่แท้จริงของชุมชนนั้นๆ ซึ่งการประชุมวิชาการครั้งนี้ ได้มีการนำเสนอกระบวนการการจัดทำฐานข้อมูลในชุมชนต้นแบบด้วยเยาวชนและประชาชนในชุมชนเป็นผู้มีส่วนร่วมเป็นนักวิจัยอาสาในทุกกระบวนการการทำงานศึกษาวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริง ที่จะนำไปสู่ความตระหนักรู้ถึงรากเหง้าของปัญหาและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยครอบครัวในชุมชน และเพื่อเป็นฐานข้อมูลที่สามารถสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานของรัฐในระดับท้องถิ่น (อบต.)ได้อย่างดีและเที่ยงตรง ตลอดจนเป็นบทเรียนภาคปฏิบัติสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจในการทำงานเพื่อชุมชนและสังคมต่อไป
วันนี้ (10 พ.ค. ) สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดการประชุมวิชาการครอบครัวศึกษา ครั้งที่ 4 “ปฏิบัติการครอบครัวไทยอบอุ่น” โดย พญ.พรรณพิมล วิปุลากร เลขาธิการสมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย ได้ทำการศึกษาสถานการณ์สุขภาวะของครอบครัวไทย ร่วมกับนักวิชาการจากสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล โดยได้ทำการศึกษาครอบครัวไทยทั่วทุกภาคของประเทศ ตั้งแต่ ปี 2552-2554 จำนวน 4,000 ครอบครัว เพื่อประเมินสุขภาวะครอบครัวที่จะเป็นผลสะท้อนให้เห็นระดับความอบอุ่นและความมีสุขภาวะที่ดีของคนไทย ผลจากการศึกษาพบสถานการณ์ที่ยังคงเป็นวัฏจักรที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ได้แก่ การเล่นการพนัน การซื้อลอตเตอรี่ หวยใต้ดิน และการดื่มสุรา โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากในขณะนี้ คือ การเล่นการพนัน เพราะผลจากการศึกษาปี 2554 มีครอบครัวที่มีสมาชิกเล่นการพนันถึงร้อยละ 26.7 และมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้นกว่า ปี 2553 (19.2%) และปี 2552 (23.8%)
พญ.พรรณพิมล กล่าวด้วยว่า สมาคมครอบครัวศึกษาฯ จึงมีความเป็นห่วงและวิตกกังวลกับเทศกาลบอลยูโรที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 มิ.ย.-1 ก.ค.นี้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีความสนใจในกีฬาฟุตบอล ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีหากเป็นการดูเพื่อเป็นแบบอย่างในการเล่นกีฬาและเพื่อความสนุกสนาน แต่หากเป็นการดูเพื่อการพนันก็จะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ เช่น การรักทรัพย์ อาชญากรรม ซึ่งเป็นผลจากความเครียดที่ต้องหาเงินมาจ่ายค่าพนันที่เสียไป ดังนั้น ครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเป็นผู้คอยดูแล สังเกต ให้คำปรึกษา และแนะนำคนในครอบครัวของตนเองได้อย่างดีที่สุด
ด้าน ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้วิจัยเรื่องสถานการณ์สุขภาวะครอบครัวไทย ปี 2554-2555 กล่าวว่า ปัจจุบันครอบครัวไทย ร้อยละ 23 ยังมีความบกพร่องในการทำหน้าที่สำคัญ คือ การเตรียมบุตรหลานของตนให้มีความรู้ ความสามารถเพียงพอในการที่จะปกป้องดูแลตนเอง ทั้งที่ครอบครัวเป็นหน่วยแรกที่ทุกคนหวังจะให้เป็นที่พึ่งพิงทั้งทางกายและจิตใจ การบกพร่องในการทำหน้าที่ของครอบครัวจึงเท่ากับสังคมได้ขาดกลไกสำคัญในการตั้งรับกับปัญหาที่มีความรุนแรง และสลับซับซ้อน โดยเฉพาะการตั้งรับกับปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่มีความรุนแรง และอีกประเด็นหนึ่งคือการเตรียมพร้อมเพื่อการดูแลตนเองในวัยสูงอายุ 2 ประเด็นสำคัญ ที่อยากให้ภาครัฐ เอกชน และทุกคนในสังคมมองปัญหาร่วมกัน ร่วมรับผิดชอบและลงมือทำ โดยคิดถึงประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของทุกคน
ศิวพร ปกป้อง ผู้อำนวยการงานวิจัยครอบครัวศึกษา สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวต่อว่า จากการทำงานด้านครอบครัวและชุมชนในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา ทางสมาคมฯ ได้มุ่งเน้นการสร้างฐานข้อมูลครอบครัวในระดับชุมชนโดยสมาชิกในชุมชนเอง โดยมีตัวบ่งชี้ชัดเจนว่า การพัฒนาและแก้ปัญหาของครอบครัวในแต่ละชุมชนมีความแตกต่างกันตามบริบททางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม โครงสร้างประชากร และวัฒนธรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการเรียนรู้ข้อมูลเหล่านี้ที่แท้จริงของชุมชนนั้นๆ ซึ่งการประชุมวิชาการครั้งนี้ ได้มีการนำเสนอกระบวนการการจัดทำฐานข้อมูลในชุมชนต้นแบบด้วยเยาวชนและประชาชนในชุมชนเป็นผู้มีส่วนร่วมเป็นนักวิจัยอาสาในทุกกระบวนการการทำงานศึกษาวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริง ที่จะนำไปสู่ความตระหนักรู้ถึงรากเหง้าของปัญหาและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยครอบครัวในชุมชน และเพื่อเป็นฐานข้อมูลที่สามารถสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานของรัฐในระดับท้องถิ่น (อบต.)ได้อย่างดีและเที่ยงตรง ตลอดจนเป็นบทเรียนภาคปฏิบัติสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจในการทำงานเพื่อชุมชนและสังคมต่อไป