โดย..รัชญา จันทะรัง
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนคนไทยต้องลุ้นระทึกหลายครั้งหลายครา โดยเฉพาะคนในพื้นที่ภาคใต้ชายฝั่งอันดามันกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว นับตั้งแต่อยู่นอกประเทศอย่างเกาะสุมาตรา ของเมืองอิเหนา อินโดนีเซีย ที่วัดแรงสั่นสะเทือนสูงสุดได้ถึง 8.7 ริกเตอร์ ส่งแรงกระเพื่อมมาถึงคนอยู่ตึกสูงที่กรุงเทพมหานคร จนรับรู้ได้ถึงแรงสั่นไหว ขณะที่ 6 จังหวัดชายฝั่งอันดามัน ต้องอพยพกันยกใหญ่ ถัดมาเท่าไหร่คราวนี้ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่ จ.ภูเก็ต บนผืนแผ่นดินไทย แม้จะเป็นแผ่นดินไหวขนาดไม่กี่ริกเตอร์ แต่ก็เล่นเอาบ้านเรือนประชาชนพังไปหลายร้อยหลังคาเรือนจนรัฐบาลต้องออกมาเยียวยา หนำซ้ำยังมีข่าวลือว่าเกาะภูเก็ตจะจม จนผู้ที่เกี่ยวข้องต้องออกมายืนยันกันพัลวัน

ฉะนั้น ภัยจากแผ่นดินไหวนับวันยิ่งอยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น ดังนั้น หากเรามีการเตรียมพร้อมแม้จะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราสามารถลดการสูญเสียได้ หากมีการวางแผนและการซักซ้อมการเตือนภัยจากแผ่นดินไหวและสึนามิอยู่สม่ำเสมอ และที่สำคัญ หากชุมชนมีการจัดการความเสี่ยงภัยที่มาจากการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนเองแล้วย่อมแข็งแรงกว่าชุมชนอื่นๆ อย่างแน่นอน เฉกเช่น ชุมชนบ้านท่าคลอง อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ เป็นหนึ่งในชุมชนที่มูลนิธิรักษ์ไทยได้ดำเนินการส่งเสริมการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติในภูมิภาคเอเชียมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2553
ปัญญา หวามาก ประธานคณะทำงานชุมชนจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติชุมชนบ้านท่าคลอง เล่าให้ฟังว่า หลังจากปี 2547 ที่ชุมชนนี้ต้องประสบภัยสึนามิ ก็ได้ตั้งกองทุนฟื้นฟูอาชีพหลังภัยสึนามิ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถมากู้ยืมเงินไปลงทุน ซึ่งคณะทำงานล้วนแต่เป็นผู้ประสบภัยสึนามิทั้งสิ้น และได้มีการแยกออกเป็นคณะทำงานชุดต่างๆ เพื่อฟื้นฟูในหลายๆ ด้าน ทั้งการจัดการทรัพยากร เช่น การวางปะการังเทียม การอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง จากนั้นในปี 2550 ก็ได้มีการจัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมด้านภัยพิบัติโดยให้ชาวชุมชนได้เรียนรู้ทั้งการกู้ชีพ กู้ภัยทางทะเล ซึ่งเหตุที่เราไม่ได้เตรียมความพร้อมรับภัยหลังจากเกิดสึนามิ เพราะว่าเราจัดลำดับภัยสึนามิไว้ลำดับสุดท้าย เขาจะมองความปลอดภัยในการประกอบอาชีพมากกว่า นอกจากนี้ ยังมีการอบรมการเตือนภัยทางธรรมชาติซึ่งใช้วิทยากรจากคนในชุมชน
หว้าหาด แดงแคบ โต๊ะอิหม่ามบ้านท่าคลอง เล่าต่อว่า การใช้วิทยากรจากชุมชนนั้นเป็นการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น ถ้าทิศตะวันตกเมฆขึ้นอย่างนั้น แสดงว่า พายุจะมาทางทิศตะวันตกและทิศใต้ หรือการดูสีน้ำทะเล ไม้ที่ลอยในทะเลหากตั้งหัวลงแสดงว่าคลื่นจะเข้าฝั่ง หรือปลาโลมาว่ายเข้าที่ตื้นจะเกิดคลื่นพายุ

โต๊ะอิหม่าม เล่าด้วยว่า ในการสอนศาสนายังได้มีการสอดแทรกการเรียนรู้ภัยพิบัติให้กับผู้เรียนอีกด้วย เช่น เราห้ามไม่ให้เกิดสึนามิไม่ได้ แต่เราต้องอยู่ให้ได้ หรือในหลักของศาสนาโลกต้องมีสักวันหนึ่งพินาศ สลายเพราะฉะนั้นถ้าเกิดสึนามิจึงไม่แปลกแต่ก่อนที่จะแตกสลายก็จะมีสัญญาณยุบ พัง ฤดูกาลไม่เป็นไปตามปรกติ ดังนั้นเราต้องอยู่ให้ได้กับการเปลี่ยนแปลงของโลก
“วันที่ 11 เม.ย.2555 ที่เกิดสึนามิเราจะโทร.ไปสอบถามข้อมูลที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติระดับจังหวัดแต่โทร.ไม่ติด จึงเช็กข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาเพราะวันนั้นหาดที่เคยเป็นพื้นที่สึนามิถล่มมีคนลงเล่นน้ำเต็มไปหมด ก็ต้องใช้วิธีการบอกต่ออย่าให้คนต้องตื่นตระหนก เด็กๆ ที่เล่นน้ำอยู่ก็ไปบอกพ่อแม่ รวมถึงให้ประกาศเสียงตามสายเพื่อให้รีบอพยพตามที่เคยฝึกซ้อมไว้ ขณะเดียวกัน เราจะมีทีมงานคอยสังเกตเหตุการณ์ที่หาดตลอดเวลา” ปัญญา ย้อนเหตุระทึกให้ฟัง
ขณะที่อีกมุมหนึ่งของ จ.กระบี่ ณ บ้านเกาะกลาง อ.เมือง ในเหตุการณ์เดียวกัน ประดิษฐ์ จันทร์ทอง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองประสงค์ บอกว่า จุดแรกที่ชาวบ้านอพยพไปคือมัสยิด เพราะโต๊ะอิหม่ามจะช่วยให้ชาวบ้านเย็นลงโดยใช้หลักการศาสนา ซึ่งจุดที่เปราะบางที่สุด คือ หมู่ที่ 2 เนื่องจากอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และอยู่ติดฝั่งมากที่สุดและสึนามิ เมื่อปี 2547 ได้รับความเสียหายอย่างมาก จากนั้นจึงมีการสร้างเขื่อนกันคลื่นในหมู่ที่ 2 และปลูกป่าชายเลนเพิ่มมากขึ้น
วินัย ยงกิจ หรือ ครูหรีมของชาวบ้านหมู่ 2 เล่าต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 เม.ย.เราประกาศเตือนภัยไป 30 นาที ปรากฏว่า ไม่มีชาวหมู่ 2 คนไหนเหลืออยู่ในพื้นที่ เพราะอพยพมาอยู่ที่มัสยิดหมู่ 1 หมดแล้วโดยนำเฉพาะของที่จำเป็นมา เหลือเพียงกรรมการหมู่บ้านไม่กี่รายที่คอยดูระดับน้ำ และจะเป็นคนสุดท้ายที่จะออกจากพื้นที่ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เราได้มีการซักซ้อมทำความเข้าใจกันหลายครั้งกับกรรมการหมู่บ้าน อาสากู้ชีพซึ่งมีการแบ่งเป็นกลุ่มโซน ว่า ใครรับผิดชอบพื้นที่ไหนก็จะให้ดูว่าในพื้นที่ที่ตนเองรับผิดชอบมีการอพยพออกมาจากพื้นที่หมดหรือยัง เช่น ในโซนที่ตนเองรับผิดชอบมี 9-10 หลังคาเรือน หรือประมาณ 20 คน ก็จะตรวจสอบว่ามีการอพยพออกมาหมดแล้วหรือไม่ หากไม่หมดก็จะรู้ทันทีว่าขาดใคร เพราะหากมัวแต่ลงทะเบียนก็จะไม่ทันการณ์ ซึ่งจะต่างจากปี 2547 มากที่พวกเรากลัวและไม่มีความพร้อม

“เราจะสอนเด็กตลอด เพราะเวลาที่วิทยุสื่อสารดังเขาจะมีความรู้สึกก่อนแล้วก็จะรีบไปบอกป๊ะ ม๊ะ พ่อ แม่ เพราะพวกเขายังมีความทรงจำจากปี 2547 ซึ่งเราจะสอนให้เด็กผ่อนคลาย บางครั้งก็พาเด็กมาอบรมกับศูนย์นเรนทร”
บ้านเกาะกลางจะวางแผนให้ช่วยเหลือคนที่บ้านก่อน จากนั้นให้ไปช่วยเหลือคนป่วย คนบาดเจ็บ พิการออกจากพื้นที่ซึ่งคณะทำงานของบ้านเกาะกลางมีกว่า 100 คน ทั้งจากคนหนุ่มในหมู่บ้าน และเครือข่ายภายนอก อย่าง อาสาสมัครสาธารณสุข ส่วนพื้นที่ไหนที่หอเตือนภัยส่งสัญญาณไม่ถึงก็จะใช้วิธีการเป่านกหวีดเตือน ซึ่งคณะทำงานจะรู้ข้อจำกัดในพื้นที่นั้นดีอยู่แล้ว
สำหรับสิ่งที่ท้องถิ่นต้องการนั้น คือ งบประมาณในการก่อสร้างอาคารสูง 3 ชั้นขึ้นไปสร้างในพื้นที่มัสยิด ท่าเรือที่ได้มาตรฐานเพื่อให้ผู้ประสบภัยเดินทางสะดวก ถนนตัดใหม่ที่ห่างไกลจากทะเล เสาส่งสัญญาณวิทยุสื่อสารที่สามารถส่งถึงตำบลอื่นๆ ได้ ขณะที่ ศรีเภา รุจิพัชรกุล นายก อบต.บ้านท่าคลอง เตรียมที่จะตั้งงบประมาณในการซื้อเรือ วิทยุสื่อสาร รวมถึงอยากให้มีการซ้อมหนีภัยช่วงกลางคืน ให้ อบต.ที่อยู่ริมทะเล หรือพื้นที่เสี่ยง มีเรือ วิทยุรับส่ง ตลอดจนให้บ้านท่าคลองเป็นโรงเรียนสอนภัยพิบัติอีกด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว นายก อบต.คลองประสงค์ บอกว่า เวลานี้ทุกคนที่สร้างบ้านชั้นเดียวรู้สึกเสียใจที่ไม่เอาความรู้ของป๊ะ ม๊ะ มาใช้ คือ ถ้าจะสร้างบ้านก็ควรที่จะสร้างบ้านใต้ถุนสูง ซึ่งในอนาคตท้องทิ่นอาจจะมีการออกข้อบัญญัติให้สร้างบ้านใต้ถุนสูงเพื่อจะได้แก้ปัญหาความปลอดภัยในครัวเรือนได้
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนคนไทยต้องลุ้นระทึกหลายครั้งหลายครา โดยเฉพาะคนในพื้นที่ภาคใต้ชายฝั่งอันดามันกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว นับตั้งแต่อยู่นอกประเทศอย่างเกาะสุมาตรา ของเมืองอิเหนา อินโดนีเซีย ที่วัดแรงสั่นสะเทือนสูงสุดได้ถึง 8.7 ริกเตอร์ ส่งแรงกระเพื่อมมาถึงคนอยู่ตึกสูงที่กรุงเทพมหานคร จนรับรู้ได้ถึงแรงสั่นไหว ขณะที่ 6 จังหวัดชายฝั่งอันดามัน ต้องอพยพกันยกใหญ่ ถัดมาเท่าไหร่คราวนี้ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่ จ.ภูเก็ต บนผืนแผ่นดินไทย แม้จะเป็นแผ่นดินไหวขนาดไม่กี่ริกเตอร์ แต่ก็เล่นเอาบ้านเรือนประชาชนพังไปหลายร้อยหลังคาเรือนจนรัฐบาลต้องออกมาเยียวยา หนำซ้ำยังมีข่าวลือว่าเกาะภูเก็ตจะจม จนผู้ที่เกี่ยวข้องต้องออกมายืนยันกันพัลวัน
ฉะนั้น ภัยจากแผ่นดินไหวนับวันยิ่งอยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น ดังนั้น หากเรามีการเตรียมพร้อมแม้จะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราสามารถลดการสูญเสียได้ หากมีการวางแผนและการซักซ้อมการเตือนภัยจากแผ่นดินไหวและสึนามิอยู่สม่ำเสมอ และที่สำคัญ หากชุมชนมีการจัดการความเสี่ยงภัยที่มาจากการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนเองแล้วย่อมแข็งแรงกว่าชุมชนอื่นๆ อย่างแน่นอน เฉกเช่น ชุมชนบ้านท่าคลอง อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ เป็นหนึ่งในชุมชนที่มูลนิธิรักษ์ไทยได้ดำเนินการส่งเสริมการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติในภูมิภาคเอเชียมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2553
ปัญญา หวามาก ประธานคณะทำงานชุมชนจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติชุมชนบ้านท่าคลอง เล่าให้ฟังว่า หลังจากปี 2547 ที่ชุมชนนี้ต้องประสบภัยสึนามิ ก็ได้ตั้งกองทุนฟื้นฟูอาชีพหลังภัยสึนามิ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถมากู้ยืมเงินไปลงทุน ซึ่งคณะทำงานล้วนแต่เป็นผู้ประสบภัยสึนามิทั้งสิ้น และได้มีการแยกออกเป็นคณะทำงานชุดต่างๆ เพื่อฟื้นฟูในหลายๆ ด้าน ทั้งการจัดการทรัพยากร เช่น การวางปะการังเทียม การอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง จากนั้นในปี 2550 ก็ได้มีการจัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมด้านภัยพิบัติโดยให้ชาวชุมชนได้เรียนรู้ทั้งการกู้ชีพ กู้ภัยทางทะเล ซึ่งเหตุที่เราไม่ได้เตรียมความพร้อมรับภัยหลังจากเกิดสึนามิ เพราะว่าเราจัดลำดับภัยสึนามิไว้ลำดับสุดท้าย เขาจะมองความปลอดภัยในการประกอบอาชีพมากกว่า นอกจากนี้ ยังมีการอบรมการเตือนภัยทางธรรมชาติซึ่งใช้วิทยากรจากคนในชุมชน
หว้าหาด แดงแคบ โต๊ะอิหม่ามบ้านท่าคลอง เล่าต่อว่า การใช้วิทยากรจากชุมชนนั้นเป็นการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น ถ้าทิศตะวันตกเมฆขึ้นอย่างนั้น แสดงว่า พายุจะมาทางทิศตะวันตกและทิศใต้ หรือการดูสีน้ำทะเล ไม้ที่ลอยในทะเลหากตั้งหัวลงแสดงว่าคลื่นจะเข้าฝั่ง หรือปลาโลมาว่ายเข้าที่ตื้นจะเกิดคลื่นพายุ
โต๊ะอิหม่าม เล่าด้วยว่า ในการสอนศาสนายังได้มีการสอดแทรกการเรียนรู้ภัยพิบัติให้กับผู้เรียนอีกด้วย เช่น เราห้ามไม่ให้เกิดสึนามิไม่ได้ แต่เราต้องอยู่ให้ได้ หรือในหลักของศาสนาโลกต้องมีสักวันหนึ่งพินาศ สลายเพราะฉะนั้นถ้าเกิดสึนามิจึงไม่แปลกแต่ก่อนที่จะแตกสลายก็จะมีสัญญาณยุบ พัง ฤดูกาลไม่เป็นไปตามปรกติ ดังนั้นเราต้องอยู่ให้ได้กับการเปลี่ยนแปลงของโลก
“วันที่ 11 เม.ย.2555 ที่เกิดสึนามิเราจะโทร.ไปสอบถามข้อมูลที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติระดับจังหวัดแต่โทร.ไม่ติด จึงเช็กข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาเพราะวันนั้นหาดที่เคยเป็นพื้นที่สึนามิถล่มมีคนลงเล่นน้ำเต็มไปหมด ก็ต้องใช้วิธีการบอกต่ออย่าให้คนต้องตื่นตระหนก เด็กๆ ที่เล่นน้ำอยู่ก็ไปบอกพ่อแม่ รวมถึงให้ประกาศเสียงตามสายเพื่อให้รีบอพยพตามที่เคยฝึกซ้อมไว้ ขณะเดียวกัน เราจะมีทีมงานคอยสังเกตเหตุการณ์ที่หาดตลอดเวลา” ปัญญา ย้อนเหตุระทึกให้ฟัง
ขณะที่อีกมุมหนึ่งของ จ.กระบี่ ณ บ้านเกาะกลาง อ.เมือง ในเหตุการณ์เดียวกัน ประดิษฐ์ จันทร์ทอง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองประสงค์ บอกว่า จุดแรกที่ชาวบ้านอพยพไปคือมัสยิด เพราะโต๊ะอิหม่ามจะช่วยให้ชาวบ้านเย็นลงโดยใช้หลักการศาสนา ซึ่งจุดที่เปราะบางที่สุด คือ หมู่ที่ 2 เนื่องจากอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และอยู่ติดฝั่งมากที่สุดและสึนามิ เมื่อปี 2547 ได้รับความเสียหายอย่างมาก จากนั้นจึงมีการสร้างเขื่อนกันคลื่นในหมู่ที่ 2 และปลูกป่าชายเลนเพิ่มมากขึ้น
วินัย ยงกิจ หรือ ครูหรีมของชาวบ้านหมู่ 2 เล่าต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 เม.ย.เราประกาศเตือนภัยไป 30 นาที ปรากฏว่า ไม่มีชาวหมู่ 2 คนไหนเหลืออยู่ในพื้นที่ เพราะอพยพมาอยู่ที่มัสยิดหมู่ 1 หมดแล้วโดยนำเฉพาะของที่จำเป็นมา เหลือเพียงกรรมการหมู่บ้านไม่กี่รายที่คอยดูระดับน้ำ และจะเป็นคนสุดท้ายที่จะออกจากพื้นที่ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เราได้มีการซักซ้อมทำความเข้าใจกันหลายครั้งกับกรรมการหมู่บ้าน อาสากู้ชีพซึ่งมีการแบ่งเป็นกลุ่มโซน ว่า ใครรับผิดชอบพื้นที่ไหนก็จะให้ดูว่าในพื้นที่ที่ตนเองรับผิดชอบมีการอพยพออกมาจากพื้นที่หมดหรือยัง เช่น ในโซนที่ตนเองรับผิดชอบมี 9-10 หลังคาเรือน หรือประมาณ 20 คน ก็จะตรวจสอบว่ามีการอพยพออกมาหมดแล้วหรือไม่ หากไม่หมดก็จะรู้ทันทีว่าขาดใคร เพราะหากมัวแต่ลงทะเบียนก็จะไม่ทันการณ์ ซึ่งจะต่างจากปี 2547 มากที่พวกเรากลัวและไม่มีความพร้อม
“เราจะสอนเด็กตลอด เพราะเวลาที่วิทยุสื่อสารดังเขาจะมีความรู้สึกก่อนแล้วก็จะรีบไปบอกป๊ะ ม๊ะ พ่อ แม่ เพราะพวกเขายังมีความทรงจำจากปี 2547 ซึ่งเราจะสอนให้เด็กผ่อนคลาย บางครั้งก็พาเด็กมาอบรมกับศูนย์นเรนทร”
บ้านเกาะกลางจะวางแผนให้ช่วยเหลือคนที่บ้านก่อน จากนั้นให้ไปช่วยเหลือคนป่วย คนบาดเจ็บ พิการออกจากพื้นที่ซึ่งคณะทำงานของบ้านเกาะกลางมีกว่า 100 คน ทั้งจากคนหนุ่มในหมู่บ้าน และเครือข่ายภายนอก อย่าง อาสาสมัครสาธารณสุข ส่วนพื้นที่ไหนที่หอเตือนภัยส่งสัญญาณไม่ถึงก็จะใช้วิธีการเป่านกหวีดเตือน ซึ่งคณะทำงานจะรู้ข้อจำกัดในพื้นที่นั้นดีอยู่แล้ว
สำหรับสิ่งที่ท้องถิ่นต้องการนั้น คือ งบประมาณในการก่อสร้างอาคารสูง 3 ชั้นขึ้นไปสร้างในพื้นที่มัสยิด ท่าเรือที่ได้มาตรฐานเพื่อให้ผู้ประสบภัยเดินทางสะดวก ถนนตัดใหม่ที่ห่างไกลจากทะเล เสาส่งสัญญาณวิทยุสื่อสารที่สามารถส่งถึงตำบลอื่นๆ ได้ ขณะที่ ศรีเภา รุจิพัชรกุล นายก อบต.บ้านท่าคลอง เตรียมที่จะตั้งงบประมาณในการซื้อเรือ วิทยุสื่อสาร รวมถึงอยากให้มีการซ้อมหนีภัยช่วงกลางคืน ให้ อบต.ที่อยู่ริมทะเล หรือพื้นที่เสี่ยง มีเรือ วิทยุรับส่ง ตลอดจนให้บ้านท่าคลองเป็นโรงเรียนสอนภัยพิบัติอีกด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว นายก อบต.คลองประสงค์ บอกว่า เวลานี้ทุกคนที่สร้างบ้านชั้นเดียวรู้สึกเสียใจที่ไม่เอาความรู้ของป๊ะ ม๊ะ มาใช้ คือ ถ้าจะสร้างบ้านก็ควรที่จะสร้างบ้านใต้ถุนสูง ซึ่งในอนาคตท้องทิ่นอาจจะมีการออกข้อบัญญัติให้สร้างบ้านใต้ถุนสูงเพื่อจะได้แก้ปัญหาความปลอดภัยในครัวเรือนได้