ผู้ป่วยไตประกันสังคม โวย ไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้จริง ชี้ ประกาศใหม่คุ้มครองเฉพาะฟอกเลือด แต่ไม่คุ้มครองผู้ป่วยที่เปลี่ยนไตมาก่อนเป็นผู้ประกันตน แจงต้องจ่ายค่ายากดภูมิเดือนละเกือบหมื่นบาท ด้านเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีจัดประชุม 3-4 เม.ย.นี้ สำรวจข้อมูลผู้ประกันตนทั่วประเทศที่ยังไม่ได้รับยาอะทาสนาเวียร์หลังสปส.ประกาศเพิ่มสิทธิ์ใหม่
นางสาววันวิสาข์ (นามสมมติ) อายุ 32 ปี พนักงานบริษัทผู้ประกันตนที่ป่วยโรคไตก่อนได้รับสิทธิประกันสังคม เปิดเผยว่า การที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ประกาศคุ้มครองผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตก่อนเข้าเป็นผู้ประกันตนโดยระบุว่ามีผลตั้งแต่ ก.ย.54 นั้น ตนเป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ และยังต้องจ่ายค่ายากดภูมิคุ้มกันเดือนละ 9,800 บาท ทุกๆเดือน และหากเดือนใดต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลก็ต้องเสียค่าเจาะเลือดอีกด้วย ซึ่งการที่สปส.ประกาศเพิ่มสิทธิ์ดังกล่าว ตนได้สอบถามกับสถานพยาบาลแต่ก็ได้รับคำตอบว่าไม่สามารถเบิกยากดภูมิได้ เนื่องจากยังคงมีข้อกำหนดที่ว่า “จะต้องไม่เป็นผู้ที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมาก่อนที่จะมีประกันสังคม จึงจะได้รับสิทธิเบิกยากดภูมิ” ขณะที่ปัจจุบันผู้ที่สามารถเบิกค่าฟอกเลือดก็ไม่มีเงื่อนไขนี้แล้ว ซึ่งไม่เป็นธรรมกับคนที่เปลี่ยนไต กลายเป็นว่าสปส.สนับสนุนผู้ประกันตนที่เป็นโรคไตก่อนที่จะมีประกันสังคมให้ฟอกเลือดเท่านั้น และจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนไตได้เพราะไม่คุ้มครองยาดกดภูมิ
“ตอนนี้คงได้แต่ทำใจยอมรับสภาพ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ที่ผ่านมา ปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากชมรมเพื่อนโรคไต และชมรมพิทักษ์สิทธิ์ผู้ประกันตน ติดตามตลอด จนเมื่อทราบว่า สปส.ออกประกาศคุ้มครองผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคไตมาก่อนก็ดีใจมาก แต่ที่สุดก็ยังไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้” นางสาววันวิสาข์ (นามสมมติ) กล่าว
ด้านนายบริพัตร ดอนมอญ ประธานมูลนิธิผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้ปรับหลักเกณฑ์การจัดการยาต้านไวรัสอะทาสนาเวียร์ จากการให้โรงพยาบาลจัดซื้อยาเองเป็น สปส.จัดซื้อแล้วส่งให้โรงพยาบาล ในกรณีของตนที่เคยมีปัญหาไม่ได้รับยาจนต้องใช้วิธีการยืมยาจากผู้ป่วยในบัตรทองก่อนหน้านี้นั้น หลังจาก สปส.ประกาศกฎใหม่ก็พบว่าไม่มีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายยาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะจัดประชุมสัมมนาในวันที่ 3-4 เม.ย.2555 เพื่อสำรวจสมาชิกอีกครั้งว่ายังมีผู้ป่วยรายใดที่มีปัญหาไม่ได้รับยาทั้งๆ ที่แพทย์วินิจฉัยแล้วว่าจำเป็นต้องได้รับยาอะทาสนาเวียร์บ้าง นอกจากนี้ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวียังเตรียมผลักดันการบรรจุยาอะทาสนาเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม เข้าไปในชุดสิทธิประโยชน์ทั้งในส่วนของ สปส.และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เนื่องจากปัจจุบันทั้ง 2 หน่วยงานจ่ายยาดังกล่าว ที่ขนาด 300 มิลลิกรัม
“จะมีผู้ป่วยบางรายที่รับยาแล้วตับทำงานหนัก จำเป็นต้องลดขนาดยาจาก 300 มิลลิกรัม เป็น 200 มิลลิกรัม ปัญหาคือ ยาขนาด 200 มิลลิกรัมไม่อยู่ในสิทธิประโยชน์ ถ้าผู้ป่วยจะรับยาต้องจ่ายเงินซื้อเอง” นายบริพัตร กล่าวและว่า หลังจากจัดประชุมสัมมนาวันที่ 3-4 เม.ย.2555 แล้ว เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะทำหนังสือยื่นต่อ สปส.และ สปสช.เพื่อเรียกร้องให้เพิ่มยาอะทาสนาเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัมอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ต่อไป
นางสาววันวิสาข์ (นามสมมติ) อายุ 32 ปี พนักงานบริษัทผู้ประกันตนที่ป่วยโรคไตก่อนได้รับสิทธิประกันสังคม เปิดเผยว่า การที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ประกาศคุ้มครองผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตก่อนเข้าเป็นผู้ประกันตนโดยระบุว่ามีผลตั้งแต่ ก.ย.54 นั้น ตนเป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ และยังต้องจ่ายค่ายากดภูมิคุ้มกันเดือนละ 9,800 บาท ทุกๆเดือน และหากเดือนใดต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลก็ต้องเสียค่าเจาะเลือดอีกด้วย ซึ่งการที่สปส.ประกาศเพิ่มสิทธิ์ดังกล่าว ตนได้สอบถามกับสถานพยาบาลแต่ก็ได้รับคำตอบว่าไม่สามารถเบิกยากดภูมิได้ เนื่องจากยังคงมีข้อกำหนดที่ว่า “จะต้องไม่เป็นผู้ที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมาก่อนที่จะมีประกันสังคม จึงจะได้รับสิทธิเบิกยากดภูมิ” ขณะที่ปัจจุบันผู้ที่สามารถเบิกค่าฟอกเลือดก็ไม่มีเงื่อนไขนี้แล้ว ซึ่งไม่เป็นธรรมกับคนที่เปลี่ยนไต กลายเป็นว่าสปส.สนับสนุนผู้ประกันตนที่เป็นโรคไตก่อนที่จะมีประกันสังคมให้ฟอกเลือดเท่านั้น และจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนไตได้เพราะไม่คุ้มครองยาดกดภูมิ
“ตอนนี้คงได้แต่ทำใจยอมรับสภาพ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ที่ผ่านมา ปรึกษาและขอความช่วยเหลือจากชมรมเพื่อนโรคไต และชมรมพิทักษ์สิทธิ์ผู้ประกันตน ติดตามตลอด จนเมื่อทราบว่า สปส.ออกประกาศคุ้มครองผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคไตมาก่อนก็ดีใจมาก แต่ที่สุดก็ยังไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้” นางสาววันวิสาข์ (นามสมมติ) กล่าว
ด้านนายบริพัตร ดอนมอญ ประธานมูลนิธิผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้ปรับหลักเกณฑ์การจัดการยาต้านไวรัสอะทาสนาเวียร์ จากการให้โรงพยาบาลจัดซื้อยาเองเป็น สปส.จัดซื้อแล้วส่งให้โรงพยาบาล ในกรณีของตนที่เคยมีปัญหาไม่ได้รับยาจนต้องใช้วิธีการยืมยาจากผู้ป่วยในบัตรทองก่อนหน้านี้นั้น หลังจาก สปส.ประกาศกฎใหม่ก็พบว่าไม่มีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายยาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะจัดประชุมสัมมนาในวันที่ 3-4 เม.ย.2555 เพื่อสำรวจสมาชิกอีกครั้งว่ายังมีผู้ป่วยรายใดที่มีปัญหาไม่ได้รับยาทั้งๆ ที่แพทย์วินิจฉัยแล้วว่าจำเป็นต้องได้รับยาอะทาสนาเวียร์บ้าง นอกจากนี้ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวียังเตรียมผลักดันการบรรจุยาอะทาสนาเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม เข้าไปในชุดสิทธิประโยชน์ทั้งในส่วนของ สปส.และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เนื่องจากปัจจุบันทั้ง 2 หน่วยงานจ่ายยาดังกล่าว ที่ขนาด 300 มิลลิกรัม
“จะมีผู้ป่วยบางรายที่รับยาแล้วตับทำงานหนัก จำเป็นต้องลดขนาดยาจาก 300 มิลลิกรัม เป็น 200 มิลลิกรัม ปัญหาคือ ยาขนาด 200 มิลลิกรัมไม่อยู่ในสิทธิประโยชน์ ถ้าผู้ป่วยจะรับยาต้องจ่ายเงินซื้อเอง” นายบริพัตร กล่าวและว่า หลังจากจัดประชุมสัมมนาวันที่ 3-4 เม.ย.2555 แล้ว เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะทำหนังสือยื่นต่อ สปส.และ สปสช.เพื่อเรียกร้องให้เพิ่มยาอะทาสนาเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัมอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ต่อไป