ที่ประชุมสภาจุฬาฯ มีมติให้ “ศ.นพ.ภิรมย์” นั่งตำแหน่งอธิการอีกสมัย
ศ.กิตติคุณ ดร.คุณหญิง สุชาดา กีระนันทน์ นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยภายหลังการประชุมสภาจุฬาฯ ว่า ที่ประชุมมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการสรรหาอธิการบดี เสนอชื่อ ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล เป็นอธิการบดีต่ออีก 1 สมัย ซึ่งคณะกรรมการสรรหาฯ ได้รายงานต่อที่ประชุม ว่า ได้ดำเนินการสรรหาฯตามข้อบังคับว่าด้วยการสรรหาอธิการบดี อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และเห็นสอดคล้องกันว่า ศ.นพ.ภิรมย์ เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งสภาจุฬาฯ ก็มติเห็นชอบตามที่กรรมการสรรหาเสนอ และจากนี้ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหาฯ จะไปทาบทาม ศ.นพ.ภิรมย์ ซึ่งหากตอบรับตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการสรรหาฯก็จะแจ้งให้สภาจุฬาฯ รับทราบ เพื่อดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมสภาจุฬาฯ ไม่ได้มีข้อซักถาม หรือความขัดแย้งหรือข้อซักถามใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนปัญหาความขัดแย้งนั้น ประชาคมจุฬาฯก็ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ทั้งนี้ จุฬาฯ จะมองที่เป้าหมายของมหาวิทยาลัยเป็นหลักใหญ่ เพราะเรามีพระเกี้ยวในหัวใจเป็นสิ่งรวมใจด้วยกัน เชื่อความขัดแย้งทั้งหลายก็จะหายไป และหากมีอะไรก็จะหาทางปรับกันจนได้
“หลังจาก นพ.ภิรมย์ ตอบรับตำแหน่งคงได้มีโอกาสพูดคุยกัน ในเรื่องการทำงาน แต่โดยหลักการฝ่ายนโยบาย ซึ่งก็คือ สภาจุฬาฯ กับฝ่ายบริหารต้องทำงานให้สอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว จุฬาฯ ไม่เคยมีข้อขัดแย้งไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ซึ่งจากนี้ชัดเจนว่า สภามหาวิทยาลัยมีหน้าที่กำหนดนโยบายส่วน อธิการบดีก็มีหน้าที่ทำตามนโยบาย องค์กรใดก็ตามหากบอร์ดและฝ่ายบริหารทำงานไปด้วยกันไม่ได้ก็คงลำบาก จุฬาฯจะมองถึงองคาพยพ และหน้าที่เป็นหลัก” นายกสภาจุฬาฯ กล่าวและว่า สำหรับนโยบายบริหารงานนั้น เนื่องจาก พ.ร.บ.จุฬาลงกรณ์หาวิทยาลัย พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ กำหนดให้สภามหาวิทยาลัยมีบทบาทหน้าที่มากขึ้นทั้งการบริหารงานบุคคล และงบประมาณ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องผลักดันให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจุฬาฯเชื่อว่า จะทำได้ดี ส่วนด้านวิชาการมีเป้าหมาย คือ สร้างคนดีคนเก่งให้แผ่นดิน
ศ.กิตติคุณ ดร.คุณหญิง สุชาดา กีระนันทน์ นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยภายหลังการประชุมสภาจุฬาฯ ว่า ที่ประชุมมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการสรรหาอธิการบดี เสนอชื่อ ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล เป็นอธิการบดีต่ออีก 1 สมัย ซึ่งคณะกรรมการสรรหาฯ ได้รายงานต่อที่ประชุม ว่า ได้ดำเนินการสรรหาฯตามข้อบังคับว่าด้วยการสรรหาอธิการบดี อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และเห็นสอดคล้องกันว่า ศ.นพ.ภิรมย์ เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งสภาจุฬาฯ ก็มติเห็นชอบตามที่กรรมการสรรหาเสนอ และจากนี้ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหาฯ จะไปทาบทาม ศ.นพ.ภิรมย์ ซึ่งหากตอบรับตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการสรรหาฯก็จะแจ้งให้สภาจุฬาฯ รับทราบ เพื่อดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมสภาจุฬาฯ ไม่ได้มีข้อซักถาม หรือความขัดแย้งหรือข้อซักถามใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนปัญหาความขัดแย้งนั้น ประชาคมจุฬาฯก็ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ทั้งนี้ จุฬาฯ จะมองที่เป้าหมายของมหาวิทยาลัยเป็นหลักใหญ่ เพราะเรามีพระเกี้ยวในหัวใจเป็นสิ่งรวมใจด้วยกัน เชื่อความขัดแย้งทั้งหลายก็จะหายไป และหากมีอะไรก็จะหาทางปรับกันจนได้
“หลังจาก นพ.ภิรมย์ ตอบรับตำแหน่งคงได้มีโอกาสพูดคุยกัน ในเรื่องการทำงาน แต่โดยหลักการฝ่ายนโยบาย ซึ่งก็คือ สภาจุฬาฯ กับฝ่ายบริหารต้องทำงานให้สอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว จุฬาฯ ไม่เคยมีข้อขัดแย้งไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ซึ่งจากนี้ชัดเจนว่า สภามหาวิทยาลัยมีหน้าที่กำหนดนโยบายส่วน อธิการบดีก็มีหน้าที่ทำตามนโยบาย องค์กรใดก็ตามหากบอร์ดและฝ่ายบริหารทำงานไปด้วยกันไม่ได้ก็คงลำบาก จุฬาฯจะมองถึงองคาพยพ และหน้าที่เป็นหลัก” นายกสภาจุฬาฯ กล่าวและว่า สำหรับนโยบายบริหารงานนั้น เนื่องจาก พ.ร.บ.จุฬาลงกรณ์หาวิทยาลัย พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ กำหนดให้สภามหาวิทยาลัยมีบทบาทหน้าที่มากขึ้นทั้งการบริหารงานบุคคล และงบประมาณ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องผลักดันให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจุฬาฯเชื่อว่า จะทำได้ดี ส่วนด้านวิชาการมีเป้าหมาย คือ สร้างคนดีคนเก่งให้แผ่นดิน
