“เผดิมชัย” ประกาศเดินหน้านโยบายยกระดับฝีมือแรงงานไทย ปรับฐานค่าจ้างรองรับประชาคมอาเซียน ชี้ อนาคตแรงงานไทยต้องไม่ใช่แรงงานราคาถูก ยันปรับค่าจ้าง 300 บาท ไม่สวนทางค่าครองชีพ ด้านอธิบดี กกจ.รับลูกสั่งจัดทำแผนผลิตกำลังคนให้สอดรับกับตลาดแรงงานรายจังหวัด พร้อมปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองแรงงานไทยไปทำงานนอก
วันนี้ (11 ม.ค.) นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) กล่าวในการมอบนโยบายหัวหน้าส่วนราชการกรมการจัดหางาน (กกจ.) ทั่วประเทศที่โรงแรมโบนันซ่า เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมาว่า อยากให้ร่วมกันทำงานแบบบูรณารองรับการเปิดเสรีอาเซียน ทั้งการเป็นศูนย์กลางอาเซียนในการผลิตรถยนต์ส่งออก และการผลิตกลุ่มอาชีพบริการรองรับการท่องเที่ยว ภายใน 5 ปี ส่วนการเดินทางไปทำงานต่างประเทศของแรงงานไทยนั้น จะต้องเป็นระบบ ลดค่าใช่จ่าย ไม่ถูกหลอกลวงจนต้องเสียทรัพย์ โดยมีการควบคุมมาตรฐานบริษัทจัดส่งแรงงานให้เก็บค่าบริการที่ไม่เกินกฎหมายกำหนด รวมถึงดูแลสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่างๆของแรงงานไทยในต่างประเทศไม่ให้เสียเปรียบ
ขณะเดียวกัน กกจ.จะต้องส่งเสริมกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ต้องขังที่พ้นโทษให้มีงานทำ
นอกจากนี้ กกจ.ต้องร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ในการยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อให้ได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันค่าครองชีพของไทยสูงมาก และยกระดับทักษะภาษาต่างประเทศ รองรับประชาคมอาเซียน
“ต่อไปแรงงานไทยจะรับเงินค่าจ้างถูกๆ ไม่ได้แล้ว ผมอยากให้ทุกหน่วยงานของกระทรวง
แรงงาน จะต้องร่วมกันลบคำว่าค่าจ้างราคาถูกออกไปจากสังคมไทยโดยช่วยกันยกระดับทักษะฝีมือแรงงานไทยให้ได้มาตรฐานระดับอาเซียน เชื่อว่า นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันนั้น เดินถูกทางแล้ว เพราะปัจจุบันค่าครองชีพในไทยสูงมาก ขณะเดียวกัน ก็ยังสอดคล้องการเปิดตลาดแรงงานอาเซียนในปี 3 ปีข้างหน้า ซึ่งแรงงานไทยจะต้องมีทักษะฝีมือที่สามารถแข่งขันกับแรงงานชาติอื่นๆ ที่ไหลเข้ามาไทยได้ ” รมว.รง.กล่าว
นายเผดิมชัย กล่าวอีกว่า ขอให้ข้าราชการทุกคนวางใจ การแต่งตั้งโยกย้ายต้องเป็นธรรม
โดยประเมินจากการทำงานที่ดี มีคุณภาพและตั้งใจทำงาน ย่อมได้รับการตอบแทนที่ดี หากไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถร้องเรียนมายังตนได้ ซึ่งตนก็จะให้ความเป็นธรรม เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน
นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวว่า ได้ให้นโยบายจัดหางานทุกจังหวัด ไปคิดแผนการในการผลิตทรัพยากรบุคคลของแต่ละจังหวัด ให้ตรงตามความต้องการและความสามารถ เนื่องจากปัจจุบันแม้จะมีตำแหน่งงานรองรับจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถบรรจุงานได้มากเท่าที่ควร อีกทั้งหากบริหารจัดการคนได้ตรงตามความถนัด ก็จะส่งผลให้ผลผลิตและเศรษฐกิจดีขึ้น ส่วนแรงงานที่จะไปทำงานต่างประเทศต้องเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ทั้งนี้ ในส่วนของปัญหาแรงงานต่างด้าวเถื่อน จะต้องร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขให้หมดไป โดยจะมีการปรับปรุงระเบียบให้สามารถนำเข้าแรงงานถูกกฎหมายให้สะดวกขึ้น รวมทั้งจะร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงปราบปรามจับกุมแรงงานผิดกฎหมาย เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ นอกจากนี้ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของ กกจ.ทุกคน จะต้องมีการพัฒนา เรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อให้สามารถทำงานได้รอบด้านขึ้น คือ หนึ่งคนสามารถทำงานทุกอย่างของกรมได้
“นโยบายรองรับการประชาคมอาเซียน จะหารือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อปรับปรุงกฎหมายในการเข้ามาทำงานในไทยของคนต่างด้าวและกำหนดเงื่อนไขการทำงานให้สอดคล้องกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน เพื่อไม่ให้แรงงานไทยเสียเปรียบและไม่ให้คนไทยเสียเปรียบในเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทั้งในส่วนของการนำเข้าแรงงานต่างด้าวและส่งแรงงานไทยออกไปทำงานต่างประเทศ” อธิบดี กกจ.กล่าว
นายประวิทย์ ยังกล่าวถึงการดูแลผู้ติดตามแรงงานต่างด้าวที่ขณะนี้อยู่ในระบบและได้รับ
การขึ้นทะเบียนกว่า 2 หมื่นคน ว่า หากเป็นแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย และมาคลอดลูกในไทย ทางประเทศต้นทางจะออกหนังสือรับรองสถานะ ว่า เป็นประชากรของประเทศนั้นๆ ให้ หรือ ซีไอ เพื่อให้สามารถจัดระบบได้ง่ายขึ้น
“เชื่อว่า ลูกของแรงงานต่างด้าวมีมากกว่านี้ เนื่องจากยังหลบซ้อนอยู่ คาดว่า จะมีมากกว่าแสน
คน หากอายุครบ 15 ปี ต้องประกอบอาชีพและขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากไม่มีผู้จ้างงานต้องเดินทางกลับประเทศ และ หากต้องการทำงานต้องเดินทางมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” อธิบดี กกจ.กล่าว
วันนี้ (11 ม.ค.) นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) กล่าวในการมอบนโยบายหัวหน้าส่วนราชการกรมการจัดหางาน (กกจ.) ทั่วประเทศที่โรงแรมโบนันซ่า เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมาว่า อยากให้ร่วมกันทำงานแบบบูรณารองรับการเปิดเสรีอาเซียน ทั้งการเป็นศูนย์กลางอาเซียนในการผลิตรถยนต์ส่งออก และการผลิตกลุ่มอาชีพบริการรองรับการท่องเที่ยว ภายใน 5 ปี ส่วนการเดินทางไปทำงานต่างประเทศของแรงงานไทยนั้น จะต้องเป็นระบบ ลดค่าใช่จ่าย ไม่ถูกหลอกลวงจนต้องเสียทรัพย์ โดยมีการควบคุมมาตรฐานบริษัทจัดส่งแรงงานให้เก็บค่าบริการที่ไม่เกินกฎหมายกำหนด รวมถึงดูแลสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่างๆของแรงงานไทยในต่างประเทศไม่ให้เสียเปรียบ
ขณะเดียวกัน กกจ.จะต้องส่งเสริมกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ต้องขังที่พ้นโทษให้มีงานทำ
นอกจากนี้ กกจ.ต้องร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ในการยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อให้ได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันค่าครองชีพของไทยสูงมาก และยกระดับทักษะภาษาต่างประเทศ รองรับประชาคมอาเซียน
“ต่อไปแรงงานไทยจะรับเงินค่าจ้างถูกๆ ไม่ได้แล้ว ผมอยากให้ทุกหน่วยงานของกระทรวง
แรงงาน จะต้องร่วมกันลบคำว่าค่าจ้างราคาถูกออกไปจากสังคมไทยโดยช่วยกันยกระดับทักษะฝีมือแรงงานไทยให้ได้มาตรฐานระดับอาเซียน เชื่อว่า นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันนั้น เดินถูกทางแล้ว เพราะปัจจุบันค่าครองชีพในไทยสูงมาก ขณะเดียวกัน ก็ยังสอดคล้องการเปิดตลาดแรงงานอาเซียนในปี 3 ปีข้างหน้า ซึ่งแรงงานไทยจะต้องมีทักษะฝีมือที่สามารถแข่งขันกับแรงงานชาติอื่นๆ ที่ไหลเข้ามาไทยได้ ” รมว.รง.กล่าว
นายเผดิมชัย กล่าวอีกว่า ขอให้ข้าราชการทุกคนวางใจ การแต่งตั้งโยกย้ายต้องเป็นธรรม
โดยประเมินจากการทำงานที่ดี มีคุณภาพและตั้งใจทำงาน ย่อมได้รับการตอบแทนที่ดี หากไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถร้องเรียนมายังตนได้ ซึ่งตนก็จะให้ความเป็นธรรม เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน
นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวว่า ได้ให้นโยบายจัดหางานทุกจังหวัด ไปคิดแผนการในการผลิตทรัพยากรบุคคลของแต่ละจังหวัด ให้ตรงตามความต้องการและความสามารถ เนื่องจากปัจจุบันแม้จะมีตำแหน่งงานรองรับจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถบรรจุงานได้มากเท่าที่ควร อีกทั้งหากบริหารจัดการคนได้ตรงตามความถนัด ก็จะส่งผลให้ผลผลิตและเศรษฐกิจดีขึ้น ส่วนแรงงานที่จะไปทำงานต่างประเทศต้องเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ทั้งนี้ ในส่วนของปัญหาแรงงานต่างด้าวเถื่อน จะต้องร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขให้หมดไป โดยจะมีการปรับปรุงระเบียบให้สามารถนำเข้าแรงงานถูกกฎหมายให้สะดวกขึ้น รวมทั้งจะร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงปราบปรามจับกุมแรงงานผิดกฎหมาย เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ นอกจากนี้ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของ กกจ.ทุกคน จะต้องมีการพัฒนา เรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อให้สามารถทำงานได้รอบด้านขึ้น คือ หนึ่งคนสามารถทำงานทุกอย่างของกรมได้
“นโยบายรองรับการประชาคมอาเซียน จะหารือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อปรับปรุงกฎหมายในการเข้ามาทำงานในไทยของคนต่างด้าวและกำหนดเงื่อนไขการทำงานให้สอดคล้องกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน เพื่อไม่ให้แรงงานไทยเสียเปรียบและไม่ให้คนไทยเสียเปรียบในเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทั้งในส่วนของการนำเข้าแรงงานต่างด้าวและส่งแรงงานไทยออกไปทำงานต่างประเทศ” อธิบดี กกจ.กล่าว
นายประวิทย์ ยังกล่าวถึงการดูแลผู้ติดตามแรงงานต่างด้าวที่ขณะนี้อยู่ในระบบและได้รับ
การขึ้นทะเบียนกว่า 2 หมื่นคน ว่า หากเป็นแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย และมาคลอดลูกในไทย ทางประเทศต้นทางจะออกหนังสือรับรองสถานะ ว่า เป็นประชากรของประเทศนั้นๆ ให้ หรือ ซีไอ เพื่อให้สามารถจัดระบบได้ง่ายขึ้น
“เชื่อว่า ลูกของแรงงานต่างด้าวมีมากกว่านี้ เนื่องจากยังหลบซ้อนอยู่ คาดว่า จะมีมากกว่าแสน
คน หากอายุครบ 15 ปี ต้องประกอบอาชีพและขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากไม่มีผู้จ้างงานต้องเดินทางกลับประเทศ และ หากต้องการทำงานต้องเดินทางมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” อธิบดี กกจ.กล่าว