รมว.ศธ.ย้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพคน จะช่วยเพิ่มศักยภาพประเทศ ดังนั้น จำเป็นต้องเตรียมการศึกษาให้รองรับการแข่งขันและก้าวสู่ประชาคมอาเซียน พร้อมสั่งการให้ทุกองค์กรหลัก เร่งทำแผนงบประมาณ 55 เสนอภายในสิ้นเดือนเน้นโครงการใหม่ โล๊ะของเก่า
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวระหว่างมอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารระดับสูงใน ศธ.และผู้บริหารหน่วยงานในกำกับว่า ตนรับนโยบายมาจากรัฐบาลที่ให้ช่วยทำให้ ศธ.มีส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของประเทศ ช่วยให้คนมีงานทำ รองรับการเชื่อมต่อระบบเศรษฐกิจของโลก โดยการจัดการศึกษาต้องนำไปสู่การพัฒนาประสิทธิภาพคนในชาติให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นประเทศจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในภาวะที่มีหนี้สินสาธารณะพ้นตัว ปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะ 4.2 ล้านล้านบาท ปีที่ผ่านมาตั้งงบประมาณจ่ายหนี้คืนไป 1.8 แสนล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นเงินต้นแค่ 1 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นดอกเบี้ย และในปี 2557 ประเทศไทยจะครบกำหนดที่ต้องทยอยใช้คืนหนี้ ซึ่งเป็นปัญหาว่าเราจะหาเงินจากที่ไหนมาใช้หนี้ และถ้าอ้างอิงตัวเลขใช้คืนหนี้ปีละ 1 หมื่นล้านบาทแล้ว นั่นหมายความว่า อีก 400 กว่าปีจะใช้หนี้ 4.2 ล้านล้านบาทหมด เรียกว่า ชั่วชีวิตคนหลายรุ่นยังใช้ไม่หมด
ขณะที่ตัวเลขจีดีพีของไทยที่โตขึ้นมาจากผลการค้า การลงทุนของต่างชาติ แต่ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศโดยเฉพาะสินค้าเกษตร กลับมีราคาถูกลง ประชาชนจนลง คนรวยคือ กลุ่มนักลงทุนจำนวนไม่มากรัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจะแก้ไขสภาพการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร ซึ่งหนทางหนึ่งที่จะรอดได้ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพให้คนในประเทศ ซึ่งหากทำได้ก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศตามไปด้วย เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมการศึกษาให้พร้อมรองรับกับการแข่งขันกับนานาประเทศ และที่สำคัญ คือ การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 โดยต้องการดึงมหาวิทยาลัยมาเป็นแกนนำทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ในกระทรวงและนอกกระทรวงเพื่อทำแผนพัฒนาจังหวัด
“ยอมรับว่า ศธ.เป็นกระทรวงใหญ่ หลายครั้งผู้บริหารมาจากคนละพรรคการเมือง ทำให้การทำงานไม่สามารถไว้ในกันได้ต่างคนต่างหวังสร้างผลงานของตนเอง ส่งผลให้การบริหารงานไมเป็นเอกภาพ จึงอยากให้แต่ละองค์กรหลักมีการแลกเปลี่ยนศักยภาพซึ่งกันและกัน” รมว.ศธ. กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เร่งให้แต่ละกระทรวงเสนอจัดทำแผนงบประมาณปี 2555 เสนอต่อ ครม.และในส่วนของ ศธ.ตนคิดว่า จะต้องได้ต้องได้แผนงบประมาณ 2555 ภายในสิ้นเดือน ส.ค.จึงขอให้แต่ละองค์กรหลักเร่งจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อเสนอของบประมาณ โดยอยากให้เป็นโครงการใหม่ อะไรที่เป็นโครงการเก่าตัดได้ก็ตัด และอยากให้เป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานไปจนถึงระดับอุดมศึกษา
ด้านนายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวว่า การทำงานของตนยึดหลักนโยบายของรัฐบาล และจะขับเคลื่อนการทำงานตามหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการแบ่งงานนั้นตนไม่ทราบเรื่องการแบ่งงานให้ทำเป็นภูมิภาค ตนเพิ่งทราบเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แต่ตนขอสงวนไม่พูดในตอนนี้ เพราะยังไม่มีหนังสือคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจาก รมว.ศธ.เรื่องการแบ่งงานแต่อย่างใด ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ นายวรวัจน์
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวระหว่างมอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารระดับสูงใน ศธ.และผู้บริหารหน่วยงานในกำกับว่า ตนรับนโยบายมาจากรัฐบาลที่ให้ช่วยทำให้ ศธ.มีส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของประเทศ ช่วยให้คนมีงานทำ รองรับการเชื่อมต่อระบบเศรษฐกิจของโลก โดยการจัดการศึกษาต้องนำไปสู่การพัฒนาประสิทธิภาพคนในชาติให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นประเทศจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในภาวะที่มีหนี้สินสาธารณะพ้นตัว ปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะ 4.2 ล้านล้านบาท ปีที่ผ่านมาตั้งงบประมาณจ่ายหนี้คืนไป 1.8 แสนล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นเงินต้นแค่ 1 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นดอกเบี้ย และในปี 2557 ประเทศไทยจะครบกำหนดที่ต้องทยอยใช้คืนหนี้ ซึ่งเป็นปัญหาว่าเราจะหาเงินจากที่ไหนมาใช้หนี้ และถ้าอ้างอิงตัวเลขใช้คืนหนี้ปีละ 1 หมื่นล้านบาทแล้ว นั่นหมายความว่า อีก 400 กว่าปีจะใช้หนี้ 4.2 ล้านล้านบาทหมด เรียกว่า ชั่วชีวิตคนหลายรุ่นยังใช้ไม่หมด
ขณะที่ตัวเลขจีดีพีของไทยที่โตขึ้นมาจากผลการค้า การลงทุนของต่างชาติ แต่ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศโดยเฉพาะสินค้าเกษตร กลับมีราคาถูกลง ประชาชนจนลง คนรวยคือ กลุ่มนักลงทุนจำนวนไม่มากรัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจะแก้ไขสภาพการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร ซึ่งหนทางหนึ่งที่จะรอดได้ คือ การเพิ่มประสิทธิภาพให้คนในประเทศ ซึ่งหากทำได้ก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศตามไปด้วย เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมการศึกษาให้พร้อมรองรับกับการแข่งขันกับนานาประเทศ และที่สำคัญ คือ การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 โดยต้องการดึงมหาวิทยาลัยมาเป็นแกนนำทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ในกระทรวงและนอกกระทรวงเพื่อทำแผนพัฒนาจังหวัด
“ยอมรับว่า ศธ.เป็นกระทรวงใหญ่ หลายครั้งผู้บริหารมาจากคนละพรรคการเมือง ทำให้การทำงานไม่สามารถไว้ในกันได้ต่างคนต่างหวังสร้างผลงานของตนเอง ส่งผลให้การบริหารงานไมเป็นเอกภาพ จึงอยากให้แต่ละองค์กรหลักมีการแลกเปลี่ยนศักยภาพซึ่งกันและกัน” รมว.ศธ. กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เร่งให้แต่ละกระทรวงเสนอจัดทำแผนงบประมาณปี 2555 เสนอต่อ ครม.และในส่วนของ ศธ.ตนคิดว่า จะต้องได้ต้องได้แผนงบประมาณ 2555 ภายในสิ้นเดือน ส.ค.จึงขอให้แต่ละองค์กรหลักเร่งจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อเสนอของบประมาณ โดยอยากให้เป็นโครงการใหม่ อะไรที่เป็นโครงการเก่าตัดได้ก็ตัด และอยากให้เป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานไปจนถึงระดับอุดมศึกษา
ด้านนายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวว่า การทำงานของตนยึดหลักนโยบายของรัฐบาล และจะขับเคลื่อนการทำงานตามหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการแบ่งงานนั้นตนไม่ทราบเรื่องการแบ่งงานให้ทำเป็นภูมิภาค ตนเพิ่งทราบเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แต่ตนขอสงวนไม่พูดในตอนนี้ เพราะยังไม่มีหนังสือคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจาก รมว.ศธ.เรื่องการแบ่งงานแต่อย่างใด ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ นายวรวัจน์