“ความอ้วน” เป็นโรคและเป็นบ่อเกิดของโรคในสังคมของคนยุคใหม่ การแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์การรักษาที่มีมานานหลายร้อยปี มีทั้งการรักษาด้วยวิธีการนวดจีน ยาจีน และการฝังเข็ม คน ยุคนี้จึงได้มีการบูรณาการศาสตร์โบราณกับแพทย์แผนปัจจุบันร่วมกัน ผ่านการศึกษาค้นคว้าวิจัยร่วมกับการแพทย์ตะวันตก เพื่อนำข้อดีของแต่ละศาสตร์มาเติมเต็มซึ่งกันและกัน
เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการจัดประชุมวิชาการไทย-เซี่ยงไฮ้ ครั้งที่ 5 ขึ้น โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ใน การประชุมวิชาการการแพทย์แผนจีน ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมนารายณ์ กรุงเทพฯ หนึ่งในเนื้อหาที่ได้มีการศึกษาและนำมาแลกเปลี่ยนในการประชุมครั้งนี้คือ เรื่อง “การฝังเข็มรักษาโรคอ้วน”
นพ.โกสินทร์ ตรีรัตน์วีรพงษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็ม รพ.พระนั่งเกล้า ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการอภิปรายเรื่อง “ประสบการณ์การฝังเข็มรักษาโรคอ้วน” ให้ข้อมูลว่า หลังจากการเปิดประเทศของจีน ประชากรกินดีอยู่ดีทำให้มีคนอ้วนมากขึ้น เมตาบอลิซึมทำงานไม่ทัน ทำให้มีสิ่งตกค้างในร่างกายเยอะ ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต และโรคอื่นๆ ซึ่งเป็นปัญหามาก ซึ่งคนไทยจำนวนมากก็ประสบปัญหาสุขภาพดังกล่าวคล้ายกัน ด้วยลักษณะนิสัยการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไป กินผักผลไม้น้อยลง และกินอาหารขยะมากขึ้น
“ปัญหาหลักของคนในยุคนี้ คือ การใช้ชีวิตประจำวันที่บริโภคอาหารที่มีแคลอรี่เยอะ ไม่ออกกำลังกาย นอนดึก เครียด รวมไปถึงการกินยาบางอย่างด้วย ทำให้ระบบการทำงานที่เป็นแบบ automatic เช่น การทำงานของหัวใจ ลำไส้ กระเพาะ ทำงานหนักจนล้า ทำให้ระบบขาดสมดุลและผิดเพี้ยนได้ แตกต่างจากอวัยวะอย่าง แขนและขาที่เราสามารถควบคุมการเคลื่อนที่ได้” นพ.โกสินทร์ กล่าวถึงความสาเหตุของโรคอ้วน
โดยหลักการทั่วไปของการรักษาด้วยการฝังเข็มนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ ระบุว่า เป็นการช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทปรับสมดุล จากปลายเข็มที่สัมผัสโดนปลายประสาท แล้วเกิดการส่งสัญญาณไปกระตุ้นที่สมอง หลังจากนั้น ระบบเส้นประสาทที่สมองจะปล่อยสารเคมีกลับไปที่ปลายประสาท ซึ่งสารเคมีที่ถูกส่งกลับมานี้ จะช่วยปรับสมดุลร่างกายให้ทำงานได้อย่างปกติ นอกจากการฝังเข็มแล้วอาจจะมีการใช้ยาจีนในการรักษาร่วมกันอีกด้วย
นพ.โกสินทร์ กล่าวอีกว่า ผลของการฝังเข็มรักษาโรคอ้วนนั้น จะช่วยทำให้ความอยากลดลง เช่น บางคนกระเพาะเคลื่อนเร็วเกินไป ทำให้เมื่อกินเข้าไปได้ไม่นานก็จะหิวอีก หรือแม้แต่บางคนที่กระเพาะไม่ค่อยเคลื่อนที่ ซึ่งการฝังเข็มจะเข้าไปช่วยปรับการเคลื่อนของกระเพาะให้เกิดความสมดุลและ เป็นปกติ รวมไปถึงช่วยในเรื่องการขับถ่ายด้วย ส่วนความรู้สึกของการฝังเข็มจะมีแตกต่างกันไป เช่น รู้สึกหนัก เมื่อย ปวด ชา ช็อต ซึ่งเข็มที่ใช้จะมีลักษณะเล็ก-ตัน ส่วนการฝังจะปักแนวตรง ฉะนั้นหากเทียบกับการเจาะเลือดที่เข็มมีลักษณะใหญ่-กลวง และการเจาะที่จะเจาะแนวเฉียง นับว่าอย่างหลังจะรู้สึกเจ็บกว่าเยอะ
ด้านพญ. เฉิน ฟัง หมิ่น แพทย์ประจำสถาบันวิจัยชี่กง เมืองเซี่ยงไฮ้ กล่าวถึงหลักทั่วไปของการฝังเข็มลดความอ้วน ว่า 1.สามารถควบคุมความอยากอาหารที่มากเกินไป 2.เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน 3.ปรับ การทำงานของต่อมไร้ท่อที่แปรปรวน เช่น สตรีหลังคลอดหรือสตรีวัยทองที่มีการทำงานของต่อมไร้ท่อที่แปรปรวน ทำให้อ้วน การฝังเข็มจะช่วยปรับสมดุลของระบบฮอร์โมนต่อมใต้สมอง-ต่อมหมวกไต และระบบซิมพาเธติคของต่อมหมวกไตซึ่งจะช่วยลดความอ้วนได้
“วิธีการฝังเข็มยังใช้ได้ดีกับการกระชับสัดส่วนเฉพาะที่ โดยระยะการฝังเข็มจะอยู่ที่ 3 ครั้ง ต่อ 1 สัปดาห์ เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะลดเหลือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จำนวน 15 สัปดาห์ เป็นหนึ่งคอร์ส โดยทั่วไปหนึ่งคอร์สสามารถลดได้ 3-7 กิโลกรัม ส่วนหลังการรักษาด้วยฝังเข็มแล้ว จะทำให้เกิดภาวะกลับมาอ้วนใหม่นั้น พบน้อยมาก เนื่องจากเป็นการปรับการทำงานให้สมดุล อีกทั้งยังทำให้สุขภาพกลับมาแข็งแรงอีกด้วย” พญ.เฉิน ฟัง หมิ่น สรุป
เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการจัดประชุมวิชาการไทย-เซี่ยงไฮ้ ครั้งที่ 5 ขึ้น โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ใน การประชุมวิชาการการแพทย์แผนจีน ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมนารายณ์ กรุงเทพฯ หนึ่งในเนื้อหาที่ได้มีการศึกษาและนำมาแลกเปลี่ยนในการประชุมครั้งนี้คือ เรื่อง “การฝังเข็มรักษาโรคอ้วน”
นพ.โกสินทร์ ตรีรัตน์วีรพงษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็ม รพ.พระนั่งเกล้า ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการอภิปรายเรื่อง “ประสบการณ์การฝังเข็มรักษาโรคอ้วน” ให้ข้อมูลว่า หลังจากการเปิดประเทศของจีน ประชากรกินดีอยู่ดีทำให้มีคนอ้วนมากขึ้น เมตาบอลิซึมทำงานไม่ทัน ทำให้มีสิ่งตกค้างในร่างกายเยอะ ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต และโรคอื่นๆ ซึ่งเป็นปัญหามาก ซึ่งคนไทยจำนวนมากก็ประสบปัญหาสุขภาพดังกล่าวคล้ายกัน ด้วยลักษณะนิสัยการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไป กินผักผลไม้น้อยลง และกินอาหารขยะมากขึ้น
“ปัญหาหลักของคนในยุคนี้ คือ การใช้ชีวิตประจำวันที่บริโภคอาหารที่มีแคลอรี่เยอะ ไม่ออกกำลังกาย นอนดึก เครียด รวมไปถึงการกินยาบางอย่างด้วย ทำให้ระบบการทำงานที่เป็นแบบ automatic เช่น การทำงานของหัวใจ ลำไส้ กระเพาะ ทำงานหนักจนล้า ทำให้ระบบขาดสมดุลและผิดเพี้ยนได้ แตกต่างจากอวัยวะอย่าง แขนและขาที่เราสามารถควบคุมการเคลื่อนที่ได้” นพ.โกสินทร์ กล่าวถึงความสาเหตุของโรคอ้วน
โดยหลักการทั่วไปของการรักษาด้วยการฝังเข็มนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ ระบุว่า เป็นการช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทปรับสมดุล จากปลายเข็มที่สัมผัสโดนปลายประสาท แล้วเกิดการส่งสัญญาณไปกระตุ้นที่สมอง หลังจากนั้น ระบบเส้นประสาทที่สมองจะปล่อยสารเคมีกลับไปที่ปลายประสาท ซึ่งสารเคมีที่ถูกส่งกลับมานี้ จะช่วยปรับสมดุลร่างกายให้ทำงานได้อย่างปกติ นอกจากการฝังเข็มแล้วอาจจะมีการใช้ยาจีนในการรักษาร่วมกันอีกด้วย
นพ.โกสินทร์ กล่าวอีกว่า ผลของการฝังเข็มรักษาโรคอ้วนนั้น จะช่วยทำให้ความอยากลดลง เช่น บางคนกระเพาะเคลื่อนเร็วเกินไป ทำให้เมื่อกินเข้าไปได้ไม่นานก็จะหิวอีก หรือแม้แต่บางคนที่กระเพาะไม่ค่อยเคลื่อนที่ ซึ่งการฝังเข็มจะเข้าไปช่วยปรับการเคลื่อนของกระเพาะให้เกิดความสมดุลและ เป็นปกติ รวมไปถึงช่วยในเรื่องการขับถ่ายด้วย ส่วนความรู้สึกของการฝังเข็มจะมีแตกต่างกันไป เช่น รู้สึกหนัก เมื่อย ปวด ชา ช็อต ซึ่งเข็มที่ใช้จะมีลักษณะเล็ก-ตัน ส่วนการฝังจะปักแนวตรง ฉะนั้นหากเทียบกับการเจาะเลือดที่เข็มมีลักษณะใหญ่-กลวง และการเจาะที่จะเจาะแนวเฉียง นับว่าอย่างหลังจะรู้สึกเจ็บกว่าเยอะ
ด้านพญ. เฉิน ฟัง หมิ่น แพทย์ประจำสถาบันวิจัยชี่กง เมืองเซี่ยงไฮ้ กล่าวถึงหลักทั่วไปของการฝังเข็มลดความอ้วน ว่า 1.สามารถควบคุมความอยากอาหารที่มากเกินไป 2.เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน 3.ปรับ การทำงานของต่อมไร้ท่อที่แปรปรวน เช่น สตรีหลังคลอดหรือสตรีวัยทองที่มีการทำงานของต่อมไร้ท่อที่แปรปรวน ทำให้อ้วน การฝังเข็มจะช่วยปรับสมดุลของระบบฮอร์โมนต่อมใต้สมอง-ต่อมหมวกไต และระบบซิมพาเธติคของต่อมหมวกไตซึ่งจะช่วยลดความอ้วนได้
“วิธีการฝังเข็มยังใช้ได้ดีกับการกระชับสัดส่วนเฉพาะที่ โดยระยะการฝังเข็มจะอยู่ที่ 3 ครั้ง ต่อ 1 สัปดาห์ เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะลดเหลือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จำนวน 15 สัปดาห์ เป็นหนึ่งคอร์ส โดยทั่วไปหนึ่งคอร์สสามารถลดได้ 3-7 กิโลกรัม ส่วนหลังการรักษาด้วยฝังเข็มแล้ว จะทำให้เกิดภาวะกลับมาอ้วนใหม่นั้น พบน้อยมาก เนื่องจากเป็นการปรับการทำงานให้สมดุล อีกทั้งยังทำให้สุขภาพกลับมาแข็งแรงอีกด้วย” พญ.เฉิน ฟัง หมิ่น สรุป