แพทย์-นักวิชาการ เร่งสัมมนาความรู้โรคอุบัติใหม่-อุบัติซ้ำ เผย พบสัตว์ปีกประเทศอินโดฯ มีเชื้อหวัดนก มีชีวิตรอดสูงขึ้น ขณะเชื้อในหมูไม่แสดงอาการ ชี้ เสี่ยงมีการกลายพันธุ์ได้ เตือนไทยต้องเร่งเฝ้าระวัง พร้อมเตือนรับมือภัยจากโรคอุบัติซ้ำ หัด คางทูม ไอกรน หลังพบผู้ป่วยในวัยผู้ใหญ่ ระบุวัคซีนช่วยได้แต่อาจต้องให้ซ้ำเพื่อเพิ่มภูมิคุมกัน
วันนี้ (6 ก.ค.) ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวในการเป็นประธานเปิดการสัมมนาระบาดวิทยาแห่งชาติ ครั้งที่ 21 เรื่อง ระบาดวิทยากับความท้าทายจากภัยสุขภาพโลกที่อุบัติใหม่ ที่จัดขึ้นโดยกรมควบคุมโรค (คร.) ว่า ปัจจุบัน ประชากรโลกเพิ่มขึ้น ดังนั้น ทรัพยากรก็จะถูกจำกัดและน้อยลง เกิดวิกฤตอาหาร ซึ่งส่งผลกระทบทำเสี่ยงต่อการเกิดโรคใหม่ๆ เพราะฉะนั้นไทยจึงควรมีการเตรียมรับมือ เช่น การจัดตั้งสำนักงานติดตามโรคจากทั่วโลก และควรมีหลักสูตรอบรมเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานมีความรู้เพิ่มเติมขึ้นด้วย
รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 ทั่วโลก พบผู้ป่วยไข้หวัดนก H5N1 ในจำนวนที่ใกล้เคียงกับจำนวนผู้ป่วยตลอดปี 2553 โดยพบว่า ในสุกรที่ติดเชื้อดังกล่าวนั้น ไม่มีการแสดงอาการของโรค สะท้อนว่า ไวรัสดังกล่าวนั้นมีการปรับตัวเชื้อให้สามารถอยู่ได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่นเดียวกับในสัตว์ปีก โดยราว 2 ปีที่ผ่านมา มีรายงานของประเทศอินโดนีเซีย ว่า สัตว์ปีกที่ติดเชื้อไวรัส H5N1 รอดชีวิตถึงร้อยละ 70 จากเดิมที่ตายทั้งหมด จึงน่าเชื่อได้ว่า มีอาจมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของเชื้อแข็งแรงและยาวนานมากขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่าเชื้อไวรัส ไข้หวัดนก เริ่มมีการกลายพันธุ์บ้างแล้วในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเท่ากับเชื้อไวรัสจะสามารถแพร่เชื้อได้มากขึ้น อาจทำให้มีการระบาดของโรคไข้หวัดนกเหมือนการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งเดิม ที่โรคไข้หวัดนกจะเป็นโรคของคนในชนบท ส่วนโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นโรคของคนเมือง หากไข้หวัดนกปรับตัวกลายเป็นโรคของคนเมืองเมื่อใด ก็เป็นสัญญาณไม่ดีแน่นอน ประเทศไทยมีการเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างอย่างต่อเนื่อง
รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวต่อว่า สำหรับโรคอุบัติซ้ำ เช่น โรคหัด คางทูม วัณโรค ไอกรน อหิวาตกโรค และ โรคฉี่หนู เป็นต้น ซึ่งบางโรคเป็นโรคของเด็ก แต่หากเกิดขึ้นในผู้ใหญ่อาจถึงขั้นเสียชีวิต เช่น โรคหัด หรือ อีสุกอีใส อาการในผู้ใหญ่จะมีความรุนแรงกว่าในเด็กถึง 10 เท่า ขณะที่โรคไอกรน ปัจจุบันพบว่า เป็นโรคที่พบในผุ้ใหญ่ด้วย อย่างน้อยพบ 1 คนจาก 50 คนของผู้ใหญ่ที่ไอ เรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์
“จากการประเมินสถานการณ์นั้น เราจะใช้การศึกษาอุบัติการณ์ในต่างประเทศ อย่างอเมริกาเป็นหลัก โดยประเทศไทยจะตามหลังอเมริกา ราว 15 ปี และขณะนี้พบว่า ในรัฐแคลิฟอร์เนียของอเมริกา มีจำนวนผู้ป่วยไอกรนเพิ่มขึ้น จากอดีตมีในหลักร้อย ตอนนี้เพิ่มเป็นหลักพัน โดยสาเหตุส่วนหนึ่งพบว่าผู้ป่วยได้รับวัคซีนป้องกันแต่ภูมิคุ้มกันตกลง เนื่องจากไม่ได้มีการกระตุ้นซ้ำ ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ก็ยังจำเป็นแต่ในอนาคตอาจจะต้องมีการกระตุ้นซ้ำ เพื่อป้องกันในระยะยาว เช่น อาจรายใดเคยฉีดตอน 4 หรือ 6 ขวบ ก็อาจจะฉีดในช่วงอายุ 12 ปี อีกครั้ง” รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี กล่าว