อย.เผยความคืบหน้ามาตรการอาหารนำเข้าจากญี่ปุ่น 320 ตัวอย่าง “ปกติ” ชี้ กรณีนำเข้าจากพื้นที่ 12 จังหวัดในญี่ปุ่น ต้องมีหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดของสินค้าแสดงต่อภาครัฐ
จากรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกประกาศฯ 2 ฉบับ คุมเข้มอาหารนำเข้าจากญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด กรณีการนำเข้าอาหารนอกเหนือจาก 12 จังหวัด อย.ได้อนุโลมให้ผู้นำเข้าใช้หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดที่ออกโดยหอการค้าญี่ปุ่น ควบคู่กับเอกสารที่บ่งชี้แหล่งกำเนิดสินค้าได้ จากเดิมที่หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดจะต้องออกจากหน่วยงานของรัฐเพียงอย่างเดียว พร้อมเผย ยอดสะสมอาหารที่ อย.สุ่มตรวจหาสารกัมมันตรังสี ณ ปัจจุบันจำนวน 320 ตัวอย่าง ผลการวิเคราะห์ทุกรายการอยู่ในระดับ “ปกติ”
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย.ได้ดำเนินการเฝ้าระวังอาหารที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้ง 2 ฉบับ อย่างเคร่งครัด โดยผู้นำเข้าอาหารทุกประเภทจาก 12 จังหวัด จะต้องระบุประเภทชนิดอาหาร ปริมาณกัมมันตรังสี (Certificate of Analysis) และพื้นที่การผลิตจากห้องแล็ปของรัฐ หรือเอกชนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากประเทศญี่ปุ่น/ได้มาตรฐานสากล กรณีนำเข้าอาหารจากพื้นที่นอกเหนือจาก 12 จังหวัด ผู้นำเข้าจะต้องมีหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดของสินค้าที่มีการเพาะปลูก หรือเพาะเลี้ยง หรือผลิต (Certificate of Origin) จากหน่วยงานของรัฐมาแสดง ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาเรื่องการขอเอกสารรับรองจากหน่วยงานของรัฐ อย.จึงอนุโลมให้ผู้นำเข้าอาหารจากญี่ปุ่นใช้หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดที่ออกให้โดยหอการค้าประเทศญี่ปุ่น (Chamber of Commerce) ควบคู่กับเอกสารอื่นที่บ่งชี้ถึงแหล่งกำเนิดสินค้าได้
เลขาธิการฯ อย. กล่าวต่อว่า ขณะนี้จำนวนอาหารที่ อย. สุ่มตรวจหาสารกัมมันตรังสีมียอดสะสม (ณ วันที่ 2 พ.ค.) ทั้งสิ้น 320 ตัวอย่าง เช่น ประเภทอาหารทะเล 235 ตัวอย่าง ผัก 23 ตัวอย่าง ผลไม้ 17 ตัวอย่าง และอาหารประเภทอื่น ๆ อาทิ ข้าว งา วาซาบิ เนย แป้ง เป็นต้น จำนวน 45 ตัวอย่าง ผลการตรวจวิเคราะห์หาสารกัมมันตรังสีพบว่า ทุกรายการอยู่ในระดับ “ปกติ”
เลขาธิการ อย.กล่าวด้วยว่า ขอผู้บริโภควางใจการดำเนินงานของ อย.ซึ่ง อย.ได้ติดตามสถานการณ์รอบด้านอย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์รุนแรงเพิ่มมากขึ้น อย.อาจปรับระดับการคุมเข้มอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นให้เข้มงวดมากขึ้นตามลำดับ และขอบคุณผู้นำเข้าที่ให้ความร่วมมือกับ อย.ในการร่วมมือกันคุ้มครองผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม อย.จะรายงานผลการตรวจวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง
จากรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกประกาศฯ 2 ฉบับ คุมเข้มอาหารนำเข้าจากญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด กรณีการนำเข้าอาหารนอกเหนือจาก 12 จังหวัด อย.ได้อนุโลมให้ผู้นำเข้าใช้หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดที่ออกโดยหอการค้าญี่ปุ่น ควบคู่กับเอกสารที่บ่งชี้แหล่งกำเนิดสินค้าได้ จากเดิมที่หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดจะต้องออกจากหน่วยงานของรัฐเพียงอย่างเดียว พร้อมเผย ยอดสะสมอาหารที่ อย.สุ่มตรวจหาสารกัมมันตรังสี ณ ปัจจุบันจำนวน 320 ตัวอย่าง ผลการวิเคราะห์ทุกรายการอยู่ในระดับ “ปกติ”
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย.ได้ดำเนินการเฝ้าระวังอาหารที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้ง 2 ฉบับ อย่างเคร่งครัด โดยผู้นำเข้าอาหารทุกประเภทจาก 12 จังหวัด จะต้องระบุประเภทชนิดอาหาร ปริมาณกัมมันตรังสี (Certificate of Analysis) และพื้นที่การผลิตจากห้องแล็ปของรัฐ หรือเอกชนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากประเทศญี่ปุ่น/ได้มาตรฐานสากล กรณีนำเข้าอาหารจากพื้นที่นอกเหนือจาก 12 จังหวัด ผู้นำเข้าจะต้องมีหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดของสินค้าที่มีการเพาะปลูก หรือเพาะเลี้ยง หรือผลิต (Certificate of Origin) จากหน่วยงานของรัฐมาแสดง ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาเรื่องการขอเอกสารรับรองจากหน่วยงานของรัฐ อย.จึงอนุโลมให้ผู้นำเข้าอาหารจากญี่ปุ่นใช้หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดที่ออกให้โดยหอการค้าประเทศญี่ปุ่น (Chamber of Commerce) ควบคู่กับเอกสารอื่นที่บ่งชี้ถึงแหล่งกำเนิดสินค้าได้
เลขาธิการฯ อย. กล่าวต่อว่า ขณะนี้จำนวนอาหารที่ อย. สุ่มตรวจหาสารกัมมันตรังสีมียอดสะสม (ณ วันที่ 2 พ.ค.) ทั้งสิ้น 320 ตัวอย่าง เช่น ประเภทอาหารทะเล 235 ตัวอย่าง ผัก 23 ตัวอย่าง ผลไม้ 17 ตัวอย่าง และอาหารประเภทอื่น ๆ อาทิ ข้าว งา วาซาบิ เนย แป้ง เป็นต้น จำนวน 45 ตัวอย่าง ผลการตรวจวิเคราะห์หาสารกัมมันตรังสีพบว่า ทุกรายการอยู่ในระดับ “ปกติ”
เลขาธิการ อย.กล่าวด้วยว่า ขอผู้บริโภควางใจการดำเนินงานของ อย.ซึ่ง อย.ได้ติดตามสถานการณ์รอบด้านอย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์รุนแรงเพิ่มมากขึ้น อย.อาจปรับระดับการคุมเข้มอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นให้เข้มงวดมากขึ้นตามลำดับ และขอบคุณผู้นำเข้าที่ให้ความร่วมมือกับ อย.ในการร่วมมือกันคุ้มครองผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม อย.จะรายงานผลการตรวจวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง
