สธ.ทุ่มงบกว่า 11 ล้านบาท คุมปัญหาขาดสารไอโอดีนในปี 2554 โดยเร่งพัฒนาผู้ผลิตเครื่องปรุงรสที่ได้จากการย่อยสลายโปรตีนถั่วเหลืองขนาดเล็ก และขนาดกลางทั่วประเทศ ให้ได้มาตรฐานตาม กม.พร้อมเฝ้าระวังคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เสริมไอโอดีน
วันที่ (24 เม.ย.) นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดนโยบายและแนวทางในการป้องกันควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนอย่างยั่งยืน เนื่องจากการขาดสารไอโอดีนมีความสัมพันธ์กับระดับไอคิวของคนไทย โดยได้กำหนดมาตรการทางกฎหมาย ปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุข 4 ฉบับ บังคับให้เติมสารไอโอดีนในเกลือบริโภค น้ำปลา น้ำเกลือปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนของถั่วเหลือง เช่น ซอสปรุงรส เต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2553 เป็นต้นมานั้น
นพ.สุพรรณ กล่าวว่า ในการควบคุมมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ 4 กลุ่มดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับสารไอโอดีนครบถ้วน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอของบประมาณจากคณะรัฐมนตรี ดำเนินการ 3 ปีระหว่าง พ.ศ.2554-2556 วงเงิน 64 ล้านบาทเศษ และได้รับการอนุมัติในปี 2554 วงเงิน 11 ล้านกว่าบาท โดยใช้ดำเนินการใน 2 เรื่อง ได้แก่ การตรวจเฝ้าระวังคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่เสริมไอโอดีน เป็นเงิน 8 ล้านกว่าบาท ซึ่งในปีนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะเก็บตัวอย่างเกลือบริโภค 4,000 ตัวอย่าง เก็บน้ำปลา น้ำเกลือปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนจากถั่วเหลืองอีก 2,000 ตัวอย่าง ส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หากพบว่าเกลือบริโภคที่จำหน่ายไม่เติมไอโอดีน จะเข้าข่ายอาหารปลอม หรือเรียกว่า เกลือปลอม มีโทษจำคุก 6 เดือน - 10 ปี ปรับ 5,000-100,000 บาท
“สำหรับงบส่วนที่ 2 วงเงิน 2 ล้านกว่าบาท จะใช้พัฒนาผู้ประกอบการผลิตขนาดเล็กและขนาดกลาง เพื่อให้สามารถดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์ 4 ประเภท ได้ตามมาตรฐานทั้งประเทศ กล่าวคือ เกลือบริโภคที่จำหน่ายในประเทศ ต้องมีปริมาณไอโอดีนไม่น้อยกว่า 30 มิลลิกรัม ต่อเกลือบริโภค 1 กิโลกรัม ส่วนน้ำปลา น้ำเกลือปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนจากถั่วเหลือง กำหนดให้มีปริมาณไอโอดีนไม่น้อยกว่า 2-3 มิลลิกรัมต่อลิตร และต้องแสดงฉลากระบุว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เสริมไอโอดีนด้วย” นพ.สุพรรณ กล่าว