xs
xsm
sm
md
lg

อึ้ง! โจ๋ไทยเซ็กซ์ถี่ กินยาคุมฉุกเฉิน 20 กล่องต่อเดือน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สสส.จับมือองค์กรภาคีเครือข่ายรณรงค์ขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินยาคุมฉุกเฉินแบบพร่ำเพรื่อ เผย ระยะ 10 ปีที่ผ่านมา มียอดการผลิตและนำเข้ายาคุมฉุกเฉินในประเทศ เฉลี่ยปีละ 8 ล้านกล่อง คิดเป็นมูลค่ากว่า 600 ล้านบาท ผลสำรวจชี้ วัยรุ่นอายุ 16-20 ปี ซื้อยาคุมฉุกเฉินมาใช้มากที่สุด เข้าใจผิดว่าเป็นยาทำแท้ง สะท้อนถึงพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Sex) ของคนในสังคมไทย ที่ขาดการป้องกัน และใช้ยาคุมฉุกเฉินอย่างน้อยประมาณ 20,000 ครั้งต่อวัน ซึ่งมีโอกาสตั้งครรภ์ หรือแพร่ หรือรับเชื้อ HIV ซ้ำร้ายท้องนอกมดลูกถึงตาย แนะถุงยางช่วยได้

วันนี้ (24 มี.ค.) ณ ลานกิจกรรมชั้น 35 สสส.อาคาร SM ทาวเวอร์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่ายนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา องค์การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการสาธารณสุข (แพธ), สมาคมเภสัชกรรมชุมชนแห่งประเทศไทย และมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว จัดเสวนาเรื่อง “เปิดมุมมองพฤติกรรมการใช้ยาคุมฉุกเฉิน อันตรายเสี่ยงติดเอดส์-ท้องไม่พร้อม”เพื่อขับเคลื่อนการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่มีความเสี่ยงในการใช้ยาคุมฉุกเฉินผิดวิธี ให้เข้าใจและป้องกันตนได้ โดยจัดทำสื่อรณรงค์เรื่องการใช้ยาคุมฉุกเฉินที่ถูกต้องเผยแพร่ผ่านเครือข่าย ร้านขายยาทั่วประเทศ และสนับสนุนให้เครือข่ายเยาวชนนำไปเผยแพร่รณรงค์ในกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษาตามสถานศึกษาต่างๆ เพื่อรณรงค์ปรับเปลี่ยนทัศนคติให้คนไทยหันมาใช้ถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เช่น เพศศึกษา และทักษะชีวิต ซึ่งจะป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และที่สำคัญยังป้องกันโรคเอดส์ได้มากที่สุด

ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการ กพย.กล่าวถึงพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน ว่า ปัจจุบันคนไทยโดยเฉพาะวัยรุ่นมีพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินมากกว่ายาคุมแบบปกติ และได้รับความนิยมมากกว่ายาทำแท้ง จากผลการวิจัยเรื่องความรู้เกี่ยวกับยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินในนักศึกษาระดับ ปริญญาตรีในเขตกรุงเทพมหานคร ของ นายเขมินท์ เอี่ยมน้อย พบว่า ผู้ที่ใช้ยาคุมฉุกเฉินมากที่สุด คือ กลุ่มวัยรุ่นอายุระหว่าง 16-24 ปี โดยกว่าร้อยละ 83.3 รู้จักยาคุมฉุกเฉิน และร้อยละ 81.85 เพื่อนแนะนำให้ใช้ อย่างไรก็ตาม มากกว่าครึ่งเข้าใจผิดหรือใช้ไม่ถูกต้อง โดยประเด็นที่เข้าใจผิดมากที่สุด คือ เข้าใจว่าเป็นยาทำแท้ง

นอกจากนี้ ในปี 2552 มีการผลิตและนำเข้ายาคุมกำเนิดฉุกเฉินกว่า 8 ล้านกล่องต่อปี ซึ่งล่าสุด ในเดือน ก.พ.2554 กพย.ได้สำรวจการจำหน่ายยาคุมฉุกเฉิน ในเครือข่ายร้านขายยา 45 แห่งทั่วประเทศ พบว่า ผู้ซื้อยาคุมฉุกเฉินส่วนใหญ่ร้อยละ 47.73 มีอายุระหว่าง 16-20 ปี รองลงมา คือ กลุ่มอายุ 21-25 ปี ร้อยละ 36.36 กลุ่มอายุ 26-30 ปี ร้อยละ 13.64 และอายุมากกว่า 30 ปี ร้อยละ 2.27 ส่วนใหญ่ผู้ซื้อร้อยละ 70.45 เป็นผู้หญิง โดยอัตราการจำหน่ายยาคุมฉุกเฉินของร้านขายยา เฉลี่ยวันละ 6.5 กล่อง บางแห่งสูงถึง 25 กล่องต่อวัน ซึ่งมีแนวโน้มการจำหน่ายที่เพิ่มมากขึ้น นั่นแสดงถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า และไม่ใช้ถุงยางอนามัย

“ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาคุมกำเนิดที่ใช้ภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เฉพาะกรณีฉุกเฉินจำเป็นจริงๆ อาทิ กรณีการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ อย่างการถูกข่มขืน หรือถุงยางอนามัยที่ใช้เกิดรั่ว-แตก เป็นต้น มีประสิทธิภาพในการลดโอกาสตั้งครรภ์ได้ประมาณร้อยละ 89 เท่านั้น และที่สำคัญ ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันโรคเอดส์ และโรคติดต่อทางเพศ สัมพันธ์ได้ แม้กระทั่งไวรัสตับอักเสบบี และยังเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ เพราะเมื่อนำยาคุมฉุกเฉินมาใช้แทนวิธีคุมกำเนิดแบบธรรมดา จะกลายเป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพต่ำไปในทันที อีกทั้งยังทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และมีเลือดออกทางช่องคลอด และอาจเกิดอันตรายจากการใช้ยา ไม่ว่าจะเป็นประจำเดือนมาไม่ปกติ กะปริบกะปรอย บางรายเคยพบปัญหาการตั้งครรภ์นอกมดลูกด้วย” ผศ.ภญ.ดร.นิยดากล่าว

ด้าน น.ส.อุษาสินี ริ้วทอง เจ้าหน้าที่องค์การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการสาธารณสุข (องค์กรแพธ) กล่าวว่า จากการทำงานเรื่องเพศศึกษาขององค์กรแพธ ในส่วนของคลินิก Lovecare บริการที่เป็นมิตร พบว่า วัยรุ่นมีความรู้เรื่องยาคุมฉุกเฉินไม่ชัดเจนมากนัก เข้าใจผิด และคิดว่า เหมือนยาคุมกำเนิดแบบปกติ เด็กจะกังวลเรื่องท้องไม่พร้อมมากกว่าเรื่องการติดเชื้อเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ สำหรับในหลักสูตรเพศศึกษาก็มีการสอนเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉินตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 จัดกิจกรรมให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียน ช่วยกันวิเคราะห์ถึงประโยชน์ของยาประเภทนี้ และความจำเป็นในการใช้ยา นอกจากนี้ ในเว็บ teenpath.net ยังพบว่ามีเด็กวัยรุ่นหญิงอายุ 19 ปี ได้มาโพสต์ข้อความเพื่อขอคำปรึกษาจากการมีเพศสัมพันธ์กับแฟน 5-9 ครั้งต่อวันว่าจะเกิดปัญหาอะไรหรือไม่

“มีข้อสังเกตด้วยว่า สถานการณ์เมื่อ 3-4 ปี ก่อนวัยรุ่นไม่ค่อยไปซื้อถุงยางอนามัย แต่จะไปซื้อยาคุมฉุกเฉินตามร้านขายยา ซึ่งเห็นว่า ควรมีการให้ความรู้และเปิดโอกาสให้ทุกคนในวัยเจริญพันธุ์ ทุกช่วงวัยเข้าถึงข้อมูลรอบด้านที่ถูกต้องในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน รวมถึงการปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ใหญ่ หรือเภสัชกรประจำร้านขายยา เมื่อวัยรุ่นไปซื้อผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการคุมกำเนิด หากมีท่าทีซักถามหรือคาดคั้นมากเกินไปก็จะเป็นการผลักให้วัยรุ่นไม่สบายใจ ที่จะมาซื้อ นำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน” น.ส.อุษาสินี กล่าว

น.ส.จิรนันท์ คันธี ผู้แทนจากเครือข่ายเยาวชนอาชีวศึกษา กล่าวว่า ในฐานะที่เรียนอยู่อาชีวศึกษาและทำงานเกี่ยวกับการรณรงค์เรื่องเอดส์พบว่า มีเพื่อนได้มาขอคำแนะนำการใช้ยาคุมฉุกเฉิน และการใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากที่ผ่านมาเพื่อนในชั้นเรียนมีเพศสัมพันธ์กันมาก และยังมีการใช้ยาคุมฉุกเฉินถึง 20 แผงต่อเดือน เพราะไม่ทราบถึงผลกระทบที่ตามมา อีกทั้งมีความกังวลเรื่องท้องมาก่อนโดยที่ไม่ไม่คำนึงถึงปัญหาการติดเชื้อ เพราะเน้นห่วงเรื่องไม่ท้องมาก่อน
กำลังโหลดความคิดเห็น