xs
xsm
sm
md
lg

โจ๋เกิน 70% ชี้ไม่จำเป็นต้องมีเซ็กซ์รับวาเลนไทน์-แนะ 9 ข้อดูแลวัยใสไกลความเสี่ยง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โพลเผยผลสำรวจวันวาเลนไทน์ กลุ่มตัวอย่างเยาวชนร้อยละ 70.4 ระบุ ไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ทางเพศในวันแห่งความรัก พร้อมเสนอ 9 แนวทางดูแลลูกหลานวัยใส ที่มีโอกาสเสี่ยงเรื่องทางเพศ

วานนี้(10 ก.พ.) ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน (ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง สำรวจสถานการณ์ทางเพศของเยาวชนไทยในวันวาเลนไทน์ กรณีศึกษาตัวอย่างเยาวชนอายุ 12-24 ปีที่พักอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 1,256 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2554 ผลการสำรวจ พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 97.3 ทราบว่าวันวาเลนไทน์ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ร้อยละ 2.7 ไม่ทราบ ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 60.5 คิดว่าวันวาเลนไทน์ไม่ได้เป็นวันพิเศษอะไร ร้อยละ 39.5 คิดว่า เป็นวันพิเศษสำหรับตัวเอง

ที่น่าพิจารณา คือ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 29.4 ระบุ เคยมีประสบการณ์ในการมีเพศสัมพันธ์ร่วมหลับนอนกับคนอื่น ในขณะที่ ร้อยละ 70.6 ระบุ ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ เมื่อทำการวิเคราะห์จำแนกตัวอย่างออกตามการตกเป็นกลุ่มเสี่ยง/ไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้น พบว่า ร้อยละ 80.3 ของตัวอย่างที่เคยมีเพศสัมพันธ์ มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะสวมถุงยางอนามัยบางครั้งหรือไม่สวมเลย ในขณะที่มีเพียงร้อยละ 19.7 เท่านั้นที่ไม่ตกเป็นกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว และผลสำรวจยังพบอีกว่า ร้อยละ 16.9 ระบุ มีโอกาสมาก-มากที่สุดที่จะมีเพศสัมพันธ์ในวันวาเลนไทน์ (อาทิ กับคนรู้จัก คู่รัก แฟน สามี/ภรรยา เป็นต้น) ร้อยละ 70.4 ระบุ น้อย-เป็นไปไม่ได้เลย และร้อยละ 12.7 ระบุปานกลาง

สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ระบุการให้คำแนะนำเพื่อน หากทราบว่า เพื่อนถูกแฟนชักชวนให้มีเพศสัมพันธ์ด้วยนั้น พบว่า ร้อยละ 36.2 แนะนำว่าควรรักนวลสงวนตัว เป็นแค่แฟนยังไงๆ ก็ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงาน รองลงมาร้อยละ 34.8 แนะนำว่าเป็นแฟนกันแล้ว อาจมีเพศสัมพันธ์กันได้ แต่ต้องรู้จักป้องกันตนเอง (ยาคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย) ร้อยละ 18.0 แนะนำว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติ (เป็นสิทธิส่วนตัว) ร้อยละ 7.0 ให้ปฏิเสธ และควรเลิกคบกับแฟน และร้อยละ 4.0 ระบุอื่นๆ อาทิ ปฏิเสธ และเป็นเพื่อนกันดีกว่า ตามลำดับ

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า สำหรับในโอกาส “วันวาเลนไทน์” หรือวันแห่งความรัก ที่กำลังจะมาถึงนี้ จึงเสนอวิธีรักษาบุตรหลาน 9 ประการให้คุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครอง ไว้พิจารณาในโอกาสที่มีบุตรหลานในวัยเจริญพันธุ์ เพราะครอบครัวเป็นหน่วยทางสังคมที่มีความสำคัญต่อการถ่ายทอดค่านิยม ทัศนคติ และแบบแผนทางพฤติกรรมที่สอดคล้องกับบรรทัดฐานของสังคมให้กับเด็กและเยาวชน ค่านิยมทางเพศและพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นจะมีทิศทางเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับบรรยากาศการเลี้ยงดูและสัมพันธภาพของครอบครัว

1.คุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครอง ควรปลูกฝัง “ความซื่อสัตย์” และ “ความรักแท้” ที่คงอยู่ได้ในทุกจังหวะอารมณ์ความรู้สึกต่อกันและกัน ไม่ว่าจะอยู่ในความตึงเครียดต่อกันเพียงใด ก็จะสามารถรักและซื่อสัตย์ต่อกันได้ในทุกสถานการณ์ ดังนั้น การทอดเวลาในการทำความรู้จักต่อกัน และการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะตกลงมีเพศสัมพันธ์กันและแต่งงานอยู่กันเป็นครอบครัวจึงเป็นเรื่องจำเป็น

2.ครอบครัวหรือผู้ปกครองต้องให้ความรักและความอบอุ่นแก่ลูกหลาน ความรักของพ่อแม่ การเลี้ยงดูของพ่อแม่ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของพ่อแม่ มีส่วนสร้างบุคลิกภาพและค่านิยมรวมถึงแบบแผนพฤติกรรมในเรื่องเพศให้แก่เด็ก

3.พ่อแม่ ผู้ปกครองทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งนี้เพราะเด็กและเยาวชนมีแนวโน้มที่จะรับแบบต่างๆ จากพฤติกรรมของพ่อแม่ เยาวชนจะอยู่ในวัยที่ต้องมีตัวแบบเพื่อเขาจะได้เลียนแบบพฤติกรรม เช่น ในเรื่องการวางตัวต่อเพศตรงข้าม ความมั่นคงทางอารมณ์ ความซื่อสัตย์ต่อกัน การให้เกียรติซึ่งกันและกันในการใช้ชีวิตคู่ของพ่อแม่

4.การปลูกฝังค่านิยมเรื่องเพศที่ถูกต้องให้แก่ลูกหลาน ปลูกฝังค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณีในเรื่องเพศ เช่น ผู้หญิงให้รักนวลสงวนตัว ผู้ชายให้เกียรติผู้หญิง รู้จักความรับผิดชอบ อดได้รอได้ เป็นต้น

5.เข้าใจลักษณะทางธรรมชาติและความต้องการของวัยรุ่น พ่อแม่ควรมีการศึกษาพัฒนาการในช่วงวัยต่างๆ ของลูกหลาน เช่น พ่อแม่ต้องเข้าใจว่าวัยรุ่นต้องการอิสระ ความเป็นส่วนตัว การตัดสินใจด้วยตนเอง เป็นต้น พ่อแม่จึงต้องทำการศึกษา เพื่อลดช่องว่างระหว่างวัยระหว่างพ่อแม่กับลูก

6.ครอบครัวมีการเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตย ช่วยให้วัยรุ่นแสดงลักษณะความเป็นตัวของตัวเอง มีการปรับตัวทางสังคมที่ดี เด็กและเยาวชนที่มีสัมพันธภาพ และปรองดองกับพ่อแม่ของเขาจะมีปัญหานอกบ้านน้อยกว่าวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวที่มีการเลี้ยงดูแบบเข้มงวด

7.เลือกหรือคัดกรองสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ อินเทอร์เน็ต เป็นต้น ให้อยู่ในขอบข่ายที่เหมาะสมไม่ล่อแหลมจนเกินไป ถ้าสื่อใดๆ ที่ออกมาเห็นว่าไม่สมควร พ่อแม่ควรให้ข้อมูลย้อนกลับ ให้ความรู้ คำอธิบาย ชี้ให้เห็นคุณและโทษของข้อมูลจากสื่อนั้นๆ

8.การสนับสนุนการทำกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ การให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น การอ่านหนังสือ การออกกำลังกาย การเล่นดนตรี เป็นต้น

9.กลุ่มเพื่อนเป็นกลุ่มที่มีอิทธิต่อวัยรุ่นมาก พ่อแม่ ผู้ปกครอง จึงควรทำความรู้จักสนิทสนมกับกลุ่มเพื่อนของลูกหลาน และคอยสอนให้เยาวชนเลือกคบเพื่อนที่มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร

จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 50.1 เป็นชาย ร้อยละ 49.9 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 27.0 อายุระหว่าง 12-15 ปี ร้อยละ 22.5 อายุระหว่าง 16-18 ปี ร้อยละ 30.0 อายุระหว่าง 19-21 ปี และร้อยละ 20.5 อายุระหว่าง 22-24 ปี และกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 1.0 ระบุไม่ได้เรียนหนังสือเลย ร้อยละ 1.1 ระบุเคยเรียนแต่เลิกเรียนแล้ว ร้อยละ 5.9 ระบุเป็นนักเรียน แต่ตอนนี้ถูกพักการเรียน ร้อยละ 82.7 ระบุเป็นนักเรียนกำลังเรียนอยู่ และร้อยละ 9.3 ระบุเรียนจบแล้วตามลำดับ
กำลังโหลดความคิดเห็น