“ลำไส้แปรปรวน” โรคชวนรำคาญ

หลายคนอาจจะออกอาการงงกับชื่อโรคแปลกหูอย่างเจ้าโรค “ลำไส้แปรปรวน” หรือในภาษาอังกฤษว่า Irritable Bowel Syndrome ที่แพทย์มักจะเรียกย่อๆ ว่า IBS แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคนี้นับเป็นโรคยอดฮิตที่มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ต้องทนทรมานแกมรำคาญกับอาการของโรคดังกล่าว

นพ.สุขประเสริฐ จุฑากอเกียรติ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายถึงอาการของโรคลำไส้แปรปรวน ว่า โรคดังกล่าวเป็นโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มโรคที่สำแดงอาการปวดท้อง และในผู้ป่วยบางรายอาการนี้จะยาวนานและเรื้อรัง คือมีอาการติดต่อกัน 3 เดือนขึ้นไป

“อาการปวดท้องนี้จะเกิดร่วมกับอาการท้องผูกสลับท้องเสีย การที่แพทย์จะวินิจฉัยว่าคนไข้ป่วยเป็นโรคไอบีเอส หรือลำไส้แปรปรวนนี้ ต้องหลังจากที่คนไข้มาพบหมอด้วยอาการปวดท้อง และหมอได้ตรวจแล้วว่า ไม่พบอาการผิดปกติใดๆ ในลำไส้ ไม่พบแผลในลำไส้ ไม่พบว่ามีการติดเชื้อ แต่คนไข้มีอาการดังกล่าว ก็จะวินิจฉัยว่าเป็นลำไส้แปรปรวน”

อายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหารและตับรายนี้อธิบายต่อไปอีกว่า โรคดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจะมีการลุกลามของโรคกลายเป็นอาการที่รุนแรงขึ้นหรือกลายเป็นมะเร็ง และไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต จะคงมีเพียงแต่อาการปวดท้อง ท้องผูกสลับท้องเสีย เท่านั้น แต่นั้นก็เพียงพอที่จะก่อความทุกข์ทรมานแกมรำคาญให้แก่ผู้ป่วยได้แล้ว

“โรคนี้ยังไม่ปรากฏสาเหตุการป่วยที่แน่ชัด แต่มีการสันนิษฐานเอาไว้หลายประเด็นว่า อาจจะเกิดจากการหลั่งสารหรือฮอร์โมนในลำไส้ที่ผิดปกติ, การที่ลำไส้ไวต่อตัวกระตุ้น หรือสิ่งเร้ามากเกินไปและอาจเกี่ยวกับสภาพจิตใจและความเครียด ส่วนการรักษาในปัจจุบันก็มีทั้งการจ่ายยาตามอาการ และจ่ายยาเพื่อรักษาโรคลำไส้แปรปรวนโดยตรง และการสำรวจเชิงระบาดวิทยาพบว่า ผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย”

นพ.สุขประเสริฐ ยังได้แนะนำวิธีการดูแลตัวเองเมื่อป่วยเป็นโรคดังกล่าวว่า ควรหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นที่อาจก่อให้เกิดอาการผิดปกติในท้อง เช่น ผู้ป่วยโรคนี้ไม่ควรดื่มนม ไม่ควรกินอาหารรสจัด ควรกินอาหารที่กากใยมาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และอย่าเครียด

“สำหรับผู้ที่มีอาการผิดปกติ แนะนำให้มาพบแพทย์แต่เนิ่นๆ เพื่อหาสาเหตุของอาการผิดปกตินั้น เพราะนอกจากโรคลำไส้แปรปรวน ยังมีโรคในช่องท้องหลายโรคที่ทำให้มีอาการปวดท้องแบบนี้ได้ เพื่อการวินิจฉัยซึ่งจะนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้อง และแพทย์ก็จะได้แนะนำวิธีการดูแลสุขภาพแก่ผู้ป่วยอย่างถูกวิธีด้วย” นพ.สุขประเสริฐ ทิ้งท้าย