จากกรณีมีผู้อ้างว่าสามารถฝึกให้เด็กใช้สมองส่วนกลางแทนดวงตาในการมองเห็น พร้อมออกสื่อกระแสหลักโชว์ปิดตาทำกิจกรรมต่างๆ เช่นอ่านหนังสือ อ่านไพ่ ระบายสี ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มนักท่องโลกไซเบอร์โดยเฉพาะในเวบบอร์ดดังอย่าง “พันทิปดอทคอม” ในห้อง “หว้ากอ” อันเป็นแหล่งรวมผู้สนใจด้านวิทยาศาสตร์ โดยมี อ.จุฬาฯ เป็นตัวแทนชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมระบุชัด สมองส่วนกลางไม่เกี่ยวมองเห็นแน่นอน เผยคอร์สอบรมเป็นหมื่น หวั่นพ่อแม่ถูกลวงให้จ่ายเงิน ห่วงเยาวชนถูกหลอกให้โกหกสังคม
จากที่ก่อนหน้านี้ มีรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง เผยแพร่ภาพและข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกให้เด็กมีความสามารถพิเศษ โดยอ้างว่า สามารถอบรมเด็กให้ใช้สมองส่วนกลางแทนดวงตาในการมองเห็นได้ โดยใช้เวลาอบรม 2 วัน คิดราคาอบรมคอร์สละ 12,000 บาท และหลังจากการอบรม เด็กจะสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องอาศัยการมองดูทั้งๆ ที่ใช้ผ้าปิดตาได้ ทั้งการปิดตาอ่านหนังสือ ปิดตาทายสีและเลขในหน้าไพ่ ปิดตาระบายสี ซึ่งรายการดังกล่าวมีผู้ชมเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันในวงกว้าง
โดยผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์จากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะสมาชิกชุมนุมวิทยาศาสตร์หว้ากอ เว็บไซต์พันทิปดอทคอม (http://www.pantip.com/cafe/wahkor) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในฐานะเว็บบอร์ดที่มีการพูดคุย ถกเถียง และแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเว็บหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีของนักท่องโลกไซเบอร์ ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมกับอธิบายข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์แบบละเอียด
ผศ.ดร.เจษฎา ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ว่า หลังจากที่มีการเผยแพร่การแสดงความสามารถของกลุ่มเด็กที่อ้างว่าได้รับการอบรมจากโรงเรียนที่เปิดการอบรมการมองเห็นด้วยสมองส่วนกลาง ก็ได้มีกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ภายในเวบบอร์ห้องหว้ากอกันกระหึ่ม และส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการอ้างว่าสามารถฝึกการมองเห็นด้วยสมองส่วนกลางได้ เนื่องจากตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว สมองส่วนกลางเป็นเพียงก้านเล็กๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างสมองส่วนหน้ากับไขสันหลังเท่านั้น ทั้งตัวสมองส่วนกลาง ก็ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นหรือการคิดคำนวนใดๆ ทั้งสิ้น หน้าที่ที่ใกล้เคียงที่สุด คือ สมองส่วนกลางมีเส้นประสาทอยู่มาก และควบคุมการกลอกของลูกตามนุษย์เท่านั้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการมองเห็นแต่อย่างใด
“ที่น่าตกใจและน่าเป็นห่วง คือ มีรายการต่างๆ ไม่ใช่รายการเดียว แต่เป็นหลายๆ รายการโทรทัศน์ ซึ่งถือเป็นสื่อกระแสหลัก ที่เอาเด็กๆ ที่ผ่านการอบรมมาจากโรงเรียนนี้ มาแสดงความสามารถ ปิดตาทำนั่นทำนี่ แล้วมันไม่ใช่เรื่องของการแสดงความสามารถเพียงอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของเงินทองเข้ามาด้วย เพราะโรงเรียนดังกล่าวอ้างว่า สามารถฝึกให้เด็กมีความสามารถพิเศษแบบนี้ได้ภายใน 2 วัน แต่คอร์ส 2 วันนี้ผู้ปกครองต้องเสียเงินถึง 12,000 บาท แล้วทางโรงเรียนที่อบรมคอร์สนี้ก็อวดอ้างสรรพคุณ ว่า ฝึกแบบนี้แล้วเด็กจะสมองดีขึ้น เพิ่มระดับความจำ เพิ่มความสามารถด้นกีฬา เพิ่มฮอร์โมนให้ร่างกายสมดุล จัดความสมดุลระหว่างสมองซีกซ้ายและขวา แต่คือจริงๆ แล้วส่วนตัวผมเหมือนดูมายากลครับ เราก็เคยเห็นคุณไฉน แสงทองสุข ปิดตาขับรถ อะไรแบบนี้ ที่น่าห่วงอีกอย่างหนึ่งคือ ผมมองว่ามันเป็นการหลอกลวงประชาชน เด็กที่ไปอบรมเองก็จะถูกสอนให้หลอกตัวเองให้เชื่อว่าทำได้จริงๆ หลอกพ่อแม่ หลอกสังคมด้วย อันนี้น่าห่วงมาก”
อาจารย์จุฬาฯ รายนี้กล่าวต่อไปอีกว่า ภายหลังจากที่รายการดังกล่าวเผยแพร่ภาพออกไป ก็ได้มีนายแพทย์คนหนึ่ง ที่ใช้นามแฝงในห้องหว้ากอ เว็บไซต์พันทิป ว่า “หมอ JFK” ก็ได้ตั้งข้อสังเกตถึงความพิรุธจากเด็กหลายๆ คนที่มาแสดงความสามารถ โดยสรุปว่า น่าจะเป็นการมองลอดผ้าที่ปิดตาทางรอยแยกของส่วนจมูก ที่ดันผ้าให้เกิดร่องข้างๆ จมูก จนสามารถมองลอดได้มากกว่า โดยระบุว่า เด็กที่อ่านหนังสือก็จะต้องเอาหนังสือไว้บนตัก ในระดับที่ต้องมองลอดผ้าลงมาเท่านั้นจึงจะเห็น ในขณะที่เด็กที่ปิดตาเดินไปหาแม่ ก็ต้องเงยหน้าให้ได้ระดับที่มองลอดช่องข้างจมูกเท่านั้น จึงจะเดินมาได้
“คุณหมอเจ หรือคุณหมอเจเอฟเค คนนี้ถึงกับท้าโรงเรียนดังกล่าวเพื่อพิสูจน์ความจริง โดยท้าว่า หากเด็กเหล่านี้มองได้จากสมองส่วนกลางจริงจะมอบค่าขนมเด็กที่ผ่านการทดสอบ 1 แสนบาท โดยภายหลังคุณหมอเจก็ได้รับการติดต่อจากบริษัทที่เป็นเจ้าของรายการที่เผยแพร่ความสามารถของเด็กเหล่านี้ไปจริงๆ โดยให้มาท้าพิสูจน์ แต่ทางโรงเรียนกลับสร้างเงื่อนไขหลายประการ ทำให้การทดสอบไม่สามารถทำได้อย่างถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ และที่ต้องออกมาชี้แจงแบบนี้ เพราะไม่ใช่มีรายการเดียวที่เอาเด็กเหล่านี้ไปออก ยังมีรายการโทรทัศน์หลายรายการที่จะเอาไปออกเหมือนกัน เราเกรงกันว่าจะสร้างความเข้าใจผิดๆ แก่สังคม จึงต้องออกมาชี้แจงครับ” ผศ.ดร.เจษฎา กล่าว