รายการพิเศษ
“รถติด น้ำท่วม ขยะล้นเมือง อาชญกรรมพุ่ง มลภาวะเป็นพิษ” ล้วนเป็นปัญหาระดับต้นๆ ของเมืองใหญ่ของทุกประเทศ ไม่เว้นแม้แต่เมืองหลวงของประเทศไทย “กรุงเทพมหานคร” ที่ประชากรจำนวนมหาศาลอัดตัวอยู่ในพื้นที่ 1.5 พันตารางกิโลเมตร ต่างส่ายหน้าเอือมระอากับปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะพ่อเมืองเอง ก็ดูท่าว่าจะตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวดี โดยระบุว่า การแก้ไขปัญหาของเมืองใหญ่อย่าง กทม.ที่ผ่านมา อาจจะยังเป็นการแก้ปัญหาตามปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งการแก้ปัญหาลักษณะดังกล่าว ทำให้ต้องสูญเสียงบประมาณไปโดยไม่เกิดอะไรขึ้น เนื่องจากไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งระบบ ดังนั้น แนวทางการแก้ไขปัญหาของ กทม.ในอนาคต จึงต้องเป็นไปในลักษณะ “เป็นระบบและยั่งยืน”
ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาของเมืองหลวงให้เป็นระบบและยั่งยืน คุณชายสุขุมพันธุ์ จึงมีภารกิจที่จะพา “กรุงเทพฯ ก้าวหน้า” ซึ่งคุณชาย บอกว่า ภารกิจดังกล่าวนี้จะเปลี่ยน “รูปลักษณ์” และ “ภาพลักษณ์” ของ กทม.ในสายตาชาวโลกเลยทีเดียว โดยคุณชายได้กำหนดภารกิจที่พลิกกรุงเทพฯไว้ทั้งสิ้น 5 ด้านด้วยกัน
“ภารกิจแรก ที่จะต้องดำเนินการ คือ การป้องกันน้ำท่วม ซึ่งปัจจุบัน กทม.มีสถานีสูบน้ำอยู่ 50 แห่ง มีคลองขนาดต่างๆ เพื่อระบายน้ำมากกว่า 1,400 คลอง และมีอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ 5 แห่ง ทั้งหมดนี้สามารถระบายน้ำรวมกันได้ 155 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมา กทม.ใช้งบประมาณไปกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อป้องกันน้ำท่วม แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”
และจากสภาพภูมิประเทศของ กทม.ที่เป็นพื้นที่ลุ่มติดแม่น้ำ สูงเพียง 2 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อีกทั้งมีการทรุดตัวของพื้นดินเร็วกว่าพื้นที่อื่นๆ ประกอบกับบางช่วงมีน้ำเหนือไหลหลาก และน้ำทะเลหนุน จึงต้องมีมาตรการรับมือปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
“เพื่อหลีกเลี่ยงให้พื้นที่ กทม.จมอยู่ใต้น้ำอย่างถาวร เราจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับมือสถานการณ์ฝนตกหนักที่สุด และน้ำทะเลหนุนรุนแรงที่สุดได้ ซึ่งผมจะให้ทีมงานที่ดูแลเรื่องน้ำท่วมคิดวิธีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำขึ้นอีกเท่าตัว ในจุดสำคัญๆ ให้ได้ โดยต้องเห็นผลในระยะเวลา 3 ปี และภายใน 10 ปี กทม.จะต้องมีระบบรองรับน้ำท่วมที่ได้ผล”
ส่วนภารกิจด้านที่ 2 ที่จะพา กทม.ก้าวหน้า คือ เพิ่มพื้นที่สาธารณะ ให้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน กทม.มีพื้นที่สีเขียวต่อประชากรอยู่ที่ 3.9 ตร.ม./คน ซึ่งถือว่าน้อยมาก โดยจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ได้ 5 พันไร่ ในระยะเวลา 4 ปี ซึ่ง 1 ปีที่ผ่านมาได้จัดทำสวนหย่อมในพื้นที่ต่างๆ ไปแล้ว 1,000 ไร่ แต่คนกรุงไม่ค่อยรู้สึก เพราะเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก ดังนั้น เราจะทำสวนสาธารณะขนาด 10 ไร่ อีก 5 แห่ง ส่วนจะเป็นที่ไหนบ้างนั้นจะแจ้งให้ทราบภายหลัง เพราะต้องติดต่อกับหน่วยงานที่เป็นเจ้าของพื้นที่ต่างๆ ด้วย”
“อีกภารกิจที่เป็นปัญหาคน กทม.อย่างหนัก คือ แก้ปัญหาจราจร เพราะยานพาหนะที่ใช้ใน กทม.ส่วนใหญ่ คือ รถยนต์ส่วนตัว เนื่องจากระบบขนส่งมวลชนของเรายังไม่สามารถรองรับการใช้บริการของคนในกรุงได้ ดังนั้น กทม.จะต้องสร้างระบบป้อนผู้โดยสารให้กับขนส่งมวลชนระบบหลัก ไม่ว่าจะเป็นรถราง รถไฟฟ้า รถไฟ หรือเรือ เพราะหากเราสามารถวางระบบขนส่งมวลชนต่างๆ รองรับการใช้บริการได้ทั้งหมด เชื่อว่า คนกรุงจะลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวลงอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ยังต้องเร่งแก้ปัญหาคอขวดตามจุดต่างๆ ของการจราจรให้หมดไป ซึ่งภารกิจนี้ผมวางแผนไว้ว่าอย่างน้อย 3 ปี ต้องเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง แต่จะแก้ไขให้ได้ทั้งระบบอาจต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี”
“จัดการขยะ” คือ ภารกิจที่ 4 ที่คุณชายตั้งเป้าหมายไว้ เนื่องจากปริมาณขยะใน กทม.มีมากถึง 8.9 พันตันต่อวัน โดยคุณชายสุขุมพันธุ์ ต้องการให้มีเตาเผาขยะที่ปลอดมลพิษมาใช้สำหรับการกำจัดขยะจากเมืองหลวง
“เตาเผาขยะที่มีเทคโนโลยีระดับสูงและมีความปลอดภัย สามารถเผาขยะได้ 1.5 พันตันต่อวัน เราต้องลงทุน 4,500 ล้านบาทต่อ 1 เตา สามารถผลิตไฟฟ้าจากการเผาขยะได้ 13-14 เมกะวัตต์/วัน ซึ่งในระยะเวลา 10 ปี เราจะคุ้มทุนจากการขายไฟฟ้าที่ได้ อย่างไรก็ตาม จะนำร่องระบบการใช้เตาเผาขยะ 300 ตัน/วัน แทนการฝังกลบที่ยังมีมลพิษในปัจจุบันก่อน โดยในระยะเวลา 3ปี กทม.ต้องมีวิธีการกำจัดขยะที่ปลอดภัยและยั่งยืน”
ภารกิจสุดท้าย ได้แก่ “เพิ่มความปลอดภัย” ซึ่ง กทม.จะขยายการติดตั้งกล้องวงจรปิดให้ครอบคลุมพื้นที่ กทม.ให้ได้ 2 หมื่นจุด และติดตั้งไฟส่องสว่างตามท้องถนน 5 หมื่นดวง ภายในปี 2555 นอกจากนี้ ยังได้จัดอบรมวินมอเตอร์ไซค์ ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ เป็นอาสาสมัครพิทักษ์พลเมือง สร้างเครือข่ายช่วยเป็นหูเป็นตาให้ กทม.ซึ่งหาดำเนินการได้ตามที่วางแผนไว้ เชื่อว่าสถิติออาญชกรรมในกทม.จะลดลงอย่างแน่นอน
งานนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บอกว่า ตั้งใจทำเพื่อยกระดับคุณภาพชาว กทม.ให้ดีขึ้น และเป็นเมืองที่น่าอยู่ระดับสากล ทุ่มเทถึงขนาดเอ่ยปากว่า
“ภารกิจกรุงเทพฯ ก้าวหน้าที่วางไว้ ผมเทหมดหน้าตัก เอาอนาคตเป็นเดิมพัน และหากทำไม่ได้ก็ขอกลับไปเลี้ยงหลานดีกว่า”
