รมว.สธ.สั่งทบทวนและเพิ่มบัญชียาแผนไทยเพื่อเบิกจ่ายสะดวกมากขึ้น พร้อมสั่งแยกชนิดโรคยาแผนไทย หวังลดการนำเข้า เพิ่มหมอแผนไทยใน รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล ระบุกรณีประธานวิชาชีพแพทย์แผนไทย เรียกรับเงินแลกประกาศนียบัตร ให้ประชุมหาข้อยุติ 15 มี.ค.นี้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกว่า เพื่อให้สามารถนำยาสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบันได้มากขึ้น พบว่าขณะนี้มีบัญชียาหลัก 19 รายการ ได้สั่งการให้มีการทบทวนและจัดทำบัญชีเพิ่มเติม 1 ชุด แยกเป็นส่วนของสมุนไพร เพื่อนำไปใช้ร่วมกัน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค. ซึ่งจะสามารถเบิกจ่ายได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้ว สำหรับการขึ้นทะเบียนยาสมุนไพรนั้นจะให้มีการปรับปรุงคณะอนุกรรมการเพื่อให้มีผู้ทรงคุณวุฒิและมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของยาสมุนไพรไทยโดยเฉพาะเข้าร่วมการพิจารณาเพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนได้เร็วขึ้น
“อยากให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ จัดทำตำรายาแยกออกจากยาแผนปัจจุบัน เพื่อให้สามารถเห็นได้ชัดเจนว่ามีโรคใดบ้าง ไม่มียาแผนปัจจุบันใช้ และมีสมุนไพรไทยใดที่นำมาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้บ้าง เพื่อลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศลง และกำหนดทิศทางการดำเนินงานในอนาคตต่อไปได้” นายจุรินทร์กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีแพทย์แผนไทยทั้งหมด 1,100-1,200 คน ซึ่งคาดว่าจะสอบใบประกอบโรคศิลปะในปี 2553 ได้ประมาณ 400-500 คน หากรวมกับแพทย์แผนไทยซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 700 คน กระทรวงสาธารณสุขจะให้แพทย์แผนไทยบางส่วน เข้ามาช่วยงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยในพื้นที่ โดยจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและชุมชนเพื่อกำหนดงบประมาณต่อไป
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่ประธานคณะกรรมการวิชาชีพ สาขาการแพทย์แผนไทย ขาดคุณสมบัติในการลงนามใบประกอบโรคศิลปะ เนื่องจากถูกศาลสั่งล้มละลาย และพบว่ามีการเรียกเก็บเงินนั้นได้ให้สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะรายงานเรื่องทั้งหมดให้ทราบ จะมีการประชุมคณะกรรมการวิชาชีพฯในวันที่ 15 มี.ค.นี้ เพื่อพิจาณาว่าประธานคณะกรรมการนั้นมีคุณสมบัติถูกต้องหรือไม่ หากขาดคุณสมบัติ ก็ถือว่าการลงนามในใบประกอบโรคศิลปะเดิมนั้นใช้ไม่ได้ จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป คือต้องเลือกประธานคณะกรรมการวิชาชีพคนใหม่ และดำเนินการจัดทำใบอนุญาตใบใหม่ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้สำหรับผู้ที่จบการศึกษาและสอบใบประกอบวิชาชีพผ่านจำนวน 1,994 คน ขณะนี้ถือว่าได้รับการขึ้นทะเบียนและมีสิทธิในการประกอบโรคศิลปะได้แล้วตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย. 2552 ที่ผ่านมา และสามารถประกอบวิชาชีพได้ แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องใบอนุญาตเท่านั้น หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ใบประกอบโรคศิลปะ เพื่อประกอบวิชาชีพ สามารถขอหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนจากสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะได้ ซึ่งจะออกใบรับรองชั่วคราวให้ก่อน สำหรับส่วนภูมิภาคสามารถขอได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนั่นๆ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกว่า เพื่อให้สามารถนำยาสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบันได้มากขึ้น พบว่าขณะนี้มีบัญชียาหลัก 19 รายการ ได้สั่งการให้มีการทบทวนและจัดทำบัญชีเพิ่มเติม 1 ชุด แยกเป็นส่วนของสมุนไพร เพื่อนำไปใช้ร่วมกัน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค. ซึ่งจะสามารถเบิกจ่ายได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้ว สำหรับการขึ้นทะเบียนยาสมุนไพรนั้นจะให้มีการปรับปรุงคณะอนุกรรมการเพื่อให้มีผู้ทรงคุณวุฒิและมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของยาสมุนไพรไทยโดยเฉพาะเข้าร่วมการพิจารณาเพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนได้เร็วขึ้น
“อยากให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ จัดทำตำรายาแยกออกจากยาแผนปัจจุบัน เพื่อให้สามารถเห็นได้ชัดเจนว่ามีโรคใดบ้าง ไม่มียาแผนปัจจุบันใช้ และมีสมุนไพรไทยใดที่นำมาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้บ้าง เพื่อลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศลง และกำหนดทิศทางการดำเนินงานในอนาคตต่อไปได้” นายจุรินทร์กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีแพทย์แผนไทยทั้งหมด 1,100-1,200 คน ซึ่งคาดว่าจะสอบใบประกอบโรคศิลปะในปี 2553 ได้ประมาณ 400-500 คน หากรวมกับแพทย์แผนไทยซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 700 คน กระทรวงสาธารณสุขจะให้แพทย์แผนไทยบางส่วน เข้ามาช่วยงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยในพื้นที่ โดยจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและชุมชนเพื่อกำหนดงบประมาณต่อไป
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่ประธานคณะกรรมการวิชาชีพ สาขาการแพทย์แผนไทย ขาดคุณสมบัติในการลงนามใบประกอบโรคศิลปะ เนื่องจากถูกศาลสั่งล้มละลาย และพบว่ามีการเรียกเก็บเงินนั้นได้ให้สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะรายงานเรื่องทั้งหมดให้ทราบ จะมีการประชุมคณะกรรมการวิชาชีพฯในวันที่ 15 มี.ค.นี้ เพื่อพิจาณาว่าประธานคณะกรรมการนั้นมีคุณสมบัติถูกต้องหรือไม่ หากขาดคุณสมบัติ ก็ถือว่าการลงนามในใบประกอบโรคศิลปะเดิมนั้นใช้ไม่ได้ จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป คือต้องเลือกประธานคณะกรรมการวิชาชีพคนใหม่ และดำเนินการจัดทำใบอนุญาตใบใหม่ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้สำหรับผู้ที่จบการศึกษาและสอบใบประกอบวิชาชีพผ่านจำนวน 1,994 คน ขณะนี้ถือว่าได้รับการขึ้นทะเบียนและมีสิทธิในการประกอบโรคศิลปะได้แล้วตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย. 2552 ที่ผ่านมา และสามารถประกอบวิชาชีพได้ แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องใบอนุญาตเท่านั้น หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ใบประกอบโรคศิลปะ เพื่อประกอบวิชาชีพ สามารถขอหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนจากสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะได้ ซึ่งจะออกใบรับรองชั่วคราวให้ก่อน สำหรับส่วนภูมิภาคสามารถขอได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนั่นๆ
