กทม.เสนอรัฐบาลของบไทยเข้มแข็งแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนหลังบรรจุเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมเตรียมเสนอต่อที่ประชุมอนุ กมธ.ป่าไม้และและสัตว์ป่า ขอเป็นต้นแบบให้ อปท.มาศึกษาการแก้ไขปัญหา
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการช้างยิ้มเพื่อแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนในพื้นที่ กทม.ว่า ภายหลังการแก้ไขปัญหาในพื้นที่กทม.ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่หลายฝ่ายยังเป็นกังวลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตช้างอย่างยั่งยืน ณ ถิ่นกำเนิดว่าหากไม่สามารถทำได้จริงปัญหาช้างเร่ร่อนอาจยังไม่หมดไป มีเพียงการเคลื่อนย้ายสถานที่ในการออกมาเดินเร่ร่อน-ขอทานเท่านั้น
“โดยในช่วงต้นปีหน้าตนเตรียมหาโอกาสเข้าพบนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเข้าชี้แจงต่อรัฐสภาเพื่อขออนุมัติงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งจากรัฐบาลหลังจากที่ได้บรรจุเป็นวาระแห่งชาติแล้วนั้นซึ่งล่าสุดได้ส่งหนังสือถึงสำนักงานเลขารัฐมนตรีไปแล้ว”
นายธีระชนกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม แม้ในพื้นที่ กทม.จะประสบความสำเร็จจากที่เคยมีช้างเข้ามาเร่ร่อนในพื้นที่รวมกว่า 200 เชือก ขณะที่ปัจจุบันนี้มีไม่ถึง 10 เชือก และบางวันไม่มีเลยก็ตาม แต่ต้นรู้สึกกังวลในส่วนของพื้นที่จังหวัดปริมณฑลรอบข้างที่บรรดาควาญเจ้าของช้างนำช้างย้ายที่ทำกินเข้าสู่พื้นที่ เสมือนเป็นการผลักภาระให้พื้นที่ใกล้เคียงแทน จึงเตรียมเสนอต่อที่ประชุมอนุกรรมาธิการป่าไม้และสัตว์ป่า ในกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ซึ่งจะมีการประชุมในช่วงเดือน ม.ค.2553 เสนอตัวพร้อมเป็นต้นแบบให้จังหวัดหรือองค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) อื่นๆ ให้เข้ามาศึกษาวิธีการและแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนในพื้นที่ต่อไป
“ส่วนเรื่องงบประมาณนั้นคงต้องเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะต้องช่วยสนับสนุน กทม.คงไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนักนอกจากการให้คำปรึกษาแนะนำตามรูปแบบที่เราได้ดำเนินการมาจนประสบความสำเร็จ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการช้างแห่งชาติของทางรัฐบาล เช่นเดียวกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่มีหน้าที่ประสานและผ่านงบลงไปยังจังหวัด หรือ อปท.อื่นๆ ที่อยู่ในความดูแลในฐานะหน่วยงานในสังกัด ทั้งนี้ กทม.อาจช่วยงบฯ ด้านการปลูกพืชอาหารช้างที่ถิ่นกำเนิด คือ จ.สุรินทร์ และบุรีรัมย์ได้บ้างในฐานะที่สถาปนาเป็นบ้านพี่เมืองบ้านน้องกันเมื่อเร็วๆ นี้” นายธีระชน กล่าว
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการช้างยิ้มเพื่อแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนในพื้นที่ กทม.ว่า ภายหลังการแก้ไขปัญหาในพื้นที่กทม.ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่หลายฝ่ายยังเป็นกังวลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตช้างอย่างยั่งยืน ณ ถิ่นกำเนิดว่าหากไม่สามารถทำได้จริงปัญหาช้างเร่ร่อนอาจยังไม่หมดไป มีเพียงการเคลื่อนย้ายสถานที่ในการออกมาเดินเร่ร่อน-ขอทานเท่านั้น
“โดยในช่วงต้นปีหน้าตนเตรียมหาโอกาสเข้าพบนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเข้าชี้แจงต่อรัฐสภาเพื่อขออนุมัติงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งจากรัฐบาลหลังจากที่ได้บรรจุเป็นวาระแห่งชาติแล้วนั้นซึ่งล่าสุดได้ส่งหนังสือถึงสำนักงานเลขารัฐมนตรีไปแล้ว”
นายธีระชนกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม แม้ในพื้นที่ กทม.จะประสบความสำเร็จจากที่เคยมีช้างเข้ามาเร่ร่อนในพื้นที่รวมกว่า 200 เชือก ขณะที่ปัจจุบันนี้มีไม่ถึง 10 เชือก และบางวันไม่มีเลยก็ตาม แต่ต้นรู้สึกกังวลในส่วนของพื้นที่จังหวัดปริมณฑลรอบข้างที่บรรดาควาญเจ้าของช้างนำช้างย้ายที่ทำกินเข้าสู่พื้นที่ เสมือนเป็นการผลักภาระให้พื้นที่ใกล้เคียงแทน จึงเตรียมเสนอต่อที่ประชุมอนุกรรมาธิการป่าไม้และสัตว์ป่า ในกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ซึ่งจะมีการประชุมในช่วงเดือน ม.ค.2553 เสนอตัวพร้อมเป็นต้นแบบให้จังหวัดหรือองค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) อื่นๆ ให้เข้ามาศึกษาวิธีการและแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนในพื้นที่ต่อไป
“ส่วนเรื่องงบประมาณนั้นคงต้องเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะต้องช่วยสนับสนุน กทม.คงไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนักนอกจากการให้คำปรึกษาแนะนำตามรูปแบบที่เราได้ดำเนินการมาจนประสบความสำเร็จ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการช้างแห่งชาติของทางรัฐบาล เช่นเดียวกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่มีหน้าที่ประสานและผ่านงบลงไปยังจังหวัด หรือ อปท.อื่นๆ ที่อยู่ในความดูแลในฐานะหน่วยงานในสังกัด ทั้งนี้ กทม.อาจช่วยงบฯ ด้านการปลูกพืชอาหารช้างที่ถิ่นกำเนิด คือ จ.สุรินทร์ และบุรีรัมย์ได้บ้างในฐานะที่สถาปนาเป็นบ้านพี่เมืองบ้านน้องกันเมื่อเร็วๆ นี้” นายธีระชน กล่าว
