“ชินภัทร” เผยขอกู้ ธนาคารออมสินตามแผนฟื้นฟูองค์การค้าฯ ไม่คืบ เบนเป้าให้ สกสค.ฝากเงินกับออมสิน 500 ล้านบาทเพื่อสามารถขอกู้ได้ 3 เท่าของวงเงินฝาก เป็นเงิน 1,500 ล้านบาท เชื่อมีโอกาสได้มากกว่า เพียงพอตามแผนระยะแรก แจงเทงบเพิ่มสมรรถนะการพิมพ์ เสริมสภาพคล่องหลังยอดขายสินค้าหน้าร้านตกวูบ ปรับระบบไอที พร้อมปรับโครงสร้างบุคลากรใหม่ ตั้งเป้าส่งเงินคืนได้ใน 12 ปี
ดร. ชินภัทร ภูมิรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ว่าที่เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการองค์การค้า ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการขอกู้เงินจากธนาคารออมสิน เพื่อมาดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การค้าฯ ว่า ที่ผ่านมาองค์การค้าฯ ได้เชิญตัวแทนของธนาคารออมสินมาหารือและกำหนดปฏิทินที่จะดำเนินการขอกู้เงินแล้ว โดยได้มีการยื่นหนังสือแสดงความประสงค์ขอกู้เงินอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา รวมทั้งได้มีการจัดส่งเอกสารทางการเงิน เอกสารที่เกี่ยวกับรายรับรายจ่ายและสภาพคล่องต่างๆ ขององค์การค้าฯ และสภาพหนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมด ให้เจ้าหน้าที่นำไปวิเคราะห์ แต่เรื่องก็ยังไม่ค่อยคืบหน้าถึงขั้นที่จะอนุมัติได้ ดังนั้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตนจึงได้หารือกับผู้บริหารธนาคารออมสินเพื่อหาแนวทางและความเป็นได้ในการขอกู้เงิน ซึ่งได้รับทราบอีกแนวทางคือ ให้ สกสค. ซึ่งจะเป็นผู้กู้เนื่องจากมีสภาพเป็นนิติบุคคล ฝากเงินกับธนาคารออมสิน จำนวน 500 ล้านบาท ก็สามารถที่จะขอกู้เงินได้ 3 เท่าของวงเงินฝาก ซึ่งจะได้เงินจำนวน 1,500 ล้านบาทที่กู้ได้ และดูแล้วน่าจะเพียงพอ เพราะการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูในช่วงระยะแรกไม่ได้ใช้เงินเต็มยอด ทั้ง 2,000 กว่าล้านบาท แต่เป็นการทยอยใช้ตามแผน ซึ่งคณะกรรมการ สกสค.จะมีการกำกับดูแลในทุกขั้นตอน
ดร.ชินภัทร กล่าวต่อว่า สำหรับเงินที่กู้มาจะนำไปใช้ในแผนฟื้นฟูกิจการองค์การค้าฯ ในด้านหลักๆ ดังนี้ 1.เพิ่มสมรรถนะด้านการพิมพ์ เนื่องจากองค์การค้าฯ ใช้เครื่องจักรเก่ามีอายุกว่า 20-30 ปี ทำให้มีปัญหาล่าช้าในการจัดพิมพ์ ซึ่งที่ผ่านเมื่อมีเวลาจำกัดก็ต้องจ้างโรงพิมพ์ภายนอกมาเสริม หากเพิ่มสมรรถนะทางการพิมพ์จะทำให้ความจำเป็นในการจ้างโรงพิมพ์ภายนอกน้อยลง 2.เสริมสภาพคล่อง เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมายอดการจำหน่ายสินค้าหน้าร้านลดลงร้อยละ 40 สาเหตุหนึ่งมาจากไม่มีสินค้าขายเพราะขาดการหมุนเวียน เมื่อมีการเสริมสภาพคล่องจะทำให้มีการขายสินค้าหน้าร้านเพิ่มขึ้น
3.ปรับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งระบบ เพื่อให้การดำเนินกิจการทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำขององค์การค้ามีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุด ตั้งแต่การจัดซื้อวัสดุ การใช้วัสดุเพื่อการจัดพิมพ์ การผลิตการเก็บเข้าสต๊อก การเบิกจากสต๊อกไปขาย ซึ่งจะเป็นการลดปัญหาเกี่ยวกับสินค้าสูญหายได้ และ 4.ปรับโครงสร้างบุคลากรให้เข้าสู่กรอบอัตรากำลังที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันองค์การค้าฯ มีอัตรากำลังอยู่เกือบ 1,900 คน แต่จากที่ได้มอบหมายให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำวิจัยพบว่าองค์การค้าฯ ควรมีอัตรากำลังที่เหมาะสมเพียง 1,600 คนเท่านั้น จึงจะมีการดำเนินการเรื่องเออรี่รีไทร์ ซึ่งจากประมาณการตามแผนจะคืนทุนได้ภายใน 5 ปี
“แนวทางที่ให้ สกสค.ฝากเงินและขอกู้ 3 เท่าของวงเงินฝากดังกล่าว ทางผู้บริหารธนาคารออมสินเห็นว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด และสามารถที่จะพิจารณาเห็นชอบได้ง่ายกว่าที่จะเสนอขอกู้แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพียงแต่ว่าขณะนี้การบ้านที่ สกสค. ต้องมาดำเนินการเพิ่มเติมคือ การจัดทำแผนการใช้เงินคืนให้ทางธนาคารออมสินไปพิจารณา โดยตั้งเป้าที่จะคืนเงินภายใน 12 ปี จากนี้ก็คงจะดำเนินการตามขั้นตอน และจะสรุปเรื่องเสนอ ต่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ รับทราบ เพื่อขอนโยบายและคำแนะนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป” ดร.ชินภัทร กล่าว