ห่วงหวัด 2009 หวนระบาดระลอกสอง สั่งคุมเข้มส่งหนังสือเวียน สสจ. และ รพ.ทั่วประเทศ เตรียมพร้อมรับมือผู้ป่วยหวัดใหญ่ ชี้ 3-4 สัปดาห์ข้างหน้าสุดเสี่ยง เหตุจากนักเรียนเปิดเทอม-เทศกาลลอยกระทง และงานรื่นเริงต่างๆ รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยว รอบสัปดาห์ที่ผ่านมาป่วย 243 คน ขณะที่อภ.คาดวัคซีนเชื้อเป็นทดลองในคนกลางเดือน พ.ย.และผลิตได้ล็อตแรก ม.ค.นี้
วันนี้ (27 ต.ค.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับคณะอนุกรรมการสนับสนุนป้องกัน ควบคุมและการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด ของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แถลงข่าว “การกลับมาของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009” โดย นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า จากการที่สหรัฐฯ ได้ประกาศกภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขทั่วประเทศหลังพบการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1หรือไข้หวัดใหญ่ 2009 กลับมาแพร่ระบาดหนักในรอบสัปดาห์ที่ผ่านโดยมีผู้ป่วยอาการเข้าข่ายไข้หวัดใหญ่เพิ่มสูงขึ้นกว่าค่าปกติเกือบ 3 เท่านั้น ตนได้มีหนังสือเวียนแจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และสถานพยาบาลทุกแห่งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขให้เตรียมพร้อมรับมือการระบาดของโรคที่อาจกลับมาระบาดในไทยเป็นระลอกที่ 2
“การระบาดโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 รอบสองในประเทศตะวันตก เนื่องจากโรงเรียนเปิดและอากาศเริ่มหนาวเย็นและแห้ง เชื้อโรคอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ยาวนานขึ้น ประเทศไทยเองก็มีปัจจัยเสี่ยงในลักษณะเดียวกันในเรื่องโรงเรียนเปิดเทอมและอากาศเย็น ประกอบกับเข้าใกล้เทศกาลลอยกระทงและงานรื่นเริงต่างๆ ที่จะมีประชาชนเดินทางมาร่วมกิจกรรมจำนวนมากถ้ามีใครเป็นหวัดมาร่วมงานและไม่มีมาตรการควบคุมโรคที่ดีคนอื่นๆ ที่มาสัมผัสอยู่ใกล้ก็จะป่วยตามกันได้จะเสี่ยงต่อการเกิดการระบาดของโรคได้อีกรอบ” นายวิทยา กล่าว
นายวิทยากล่าวว่า ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคยังได้รับรายงานการพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ใน 37 จังหวัดโดยเฉพาะทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ตอนล่าง ขณะนี้จึงจะประมาทไม่ได้ และต้องขอความมือไปยังภาคเอกชนหากมีการจัดงานรื่นเริง กิจกรรมชุมนุมคนจำนวนมาก อาทิ คอนเสิร์ต โรงหนัง งานชุมนุมไม่ว่าจะเป็นทางศาสนา สังคม หรือการเมือง รวมทั้งสถานบันเทิง ผับบาร์ต่างๆ ขอให้ผู้จัดงานถือเอาเรื่องการป้องกันหวัดเป็นองค์ประกอบสำคัญของงานที่จะขาดหรือละเลยไม่ได้ ต้องเตรียมอุปกรณ์ป้องกันโรค อาทิ เจลล้างมือ หน้ากากอนามัยรวมถึงขอให้ผู้ป่วยที่เป็นหวัดงดมาร่วมงานซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้
ด้าน นพ.มงคล ณ สงขลา ประธานคณะอนุกรรมการฯ กล่าวว่า การระบาดของโรคไข้หวัด 2009 กลับมาเพิ่มสูงขึ้นในแถบเอเชียซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ไข้หวัด 2009 พร้อมที่จะระบาดใหญ่ได้อีกครั้งในทุกประเทศ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่าผู้ที่มีอาการรุนแรงไม่ใช่แค่กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวหรือหญิงตั้งครรภ์ คนอ้วน เท่านั้น แต่ผู้ที่มีอายุน้อยต่ำกว่า 2 ขวบก็มีอาการป่วยรุนแรงเช่นกัน ผู้ป่วยหลายรายจะมีอาการระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเสียชีวิตได้หากรับการรักษาช้าทั้งนี้กลุ่มดังกล่าวถือเป็นกลุ่มที่ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษไม่ควรไปในที่คนแออัดเบียดเสียด ต้องหมั่นล้างมือบ่อยๆ
“ไทยมีประสบการณ์การระบาดในวงกว้างมาแล้ว ครั้งนี้ต้องไม่ยอมให้เกิดซ้ำอีก ซึ่งมีการให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยมีการหารือร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ซึ่งได้ยืนยันว่า มีการคัดกรองอย่างเต็มที่ไม่ได้หยุดกระบวนการดังกล่าว ซึ่งในช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศเย็นและแห้ง ทำให้ป่วยง่ายถ้าสุขภาพแข็งแรงก็จะลดความเสี่ยงได้ วิธีการจะต้องออกกำลังกายทุก 14.00 น. ซึ่งอยากให้ทุกหน่วยงานรณรงค์ให้มีการออกกำลังกาย” นพ.มงคล กล่าว
นพ.ภาสกร อัศวเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดขณะนี้ในภูมิภาคเอเซียมีประเทศที่ยังไม่เคยพบการระบาดเริ่มมีการระบาดเกิดขึ้น เช่น มองโกเลีย ส่วนประเทศซีกโลกเหนือ กำลังเข้าสู่ฤดูกาลของไข้หวัดใหญ่ จึงต้องเตรียมมาตรการรับมือซึ่งเป็นเรื่องปกติ โดยประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2 สัปดาห์ และมีผู้ป่วยเข้ารีบการตรวจในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงมีการประกาศมาตรการ แต่เป็นการประกาศเชิงนโยบายเพื่อให้โรงพยาบาลจัดเตรียมการรักษาได้อย่างพอเพียง สำหรับประเทศเขตร้อนก็พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่จำนวนไม่มากนัก เช่น คิวบา โคลัมเบีย ส่วนรอบๆประเทศไทย เช่น กัมพูชา ทิเบต ซิงไห่ในประเทศจีน พบว่ามีผู้ป่วยกระจายโดยทั่วไปแต่แนวโน้มลดลง
นพ.ภาสกร กล่าวว่า สถานการณ์ของไทยยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก จำนวนผู้ป่วยตั้งแต่วันที่ 18-24 ต.ค.มีจำนวนผู้ป่วยยืนยัน 243 คน ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมรวม 28,300 คน แต่ไม่พบการระบาดแบบกลุ่ม โดยลักษณะการระบาดเป็นไปอย่างช้าๆ จากการติดตามผู้มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ยังคงมีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงใน 41 จังหวัด และมีความเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนเช่น จ.ขอนแก่น จ.สุพรรณ จ.ร้อยเอ็ด จ.เชียงราย จ.พเยาว์ และจ.แพร่ ส่วนจังหวัดที่ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง คือ จ.ปราจีนบุรี และยังพบบางจังหวัดที่มีความน่าเป็นห่วงเพราะยังมีตัวเลขผู้ป่วยขึ้น ลง ตลอดเวลาซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้การเตรียมความพร้อมยังต้องกระทำในทุกพื้นที่
นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิระดับ 10 กรมควบคุมโรค กล่าวว่า หลังจากมีการติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง พบว่าขณะนี้การระบาดภายในประเทศถือว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุด อย่างไรก็ตาม ภายในช่วง 2-3 สัปดาห์จะต้องระวังอย่างเข้มงวดและควบคุมไม่ให้เกิดการระบาด เพราะเป็นช่วงเวลาที่เชื้อจากประเทศซีกโลกเหนือจะเดินทางมาถึงประเทศไทยได้ สอดคล้องกับสถานการณ์ในประเทศไทย ที่ยังมีปัจจัยที่ทำให้เกิดการระบาดครั้งใหม่ได้อีก คือ กลุ่มเด็กนักเรียน 12 ล้านคนกำลังเปิดเทอม ประกอบกับมีงานเทศกาลต่างๆ และอากาศเริ่มเย็นลง ทำให้เชื้อไวรัสสามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยมาตรการตั้งเทอร์โมสแกนที่จุดผ่านแดน เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าใช้ไม่ได้ผลในการสกัดโรค ทำให้การดูแลอนามัยตนเองเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด
ด้านนพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการศึกษาวิจัยวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิดเชื้อเป็นซึ่งดำเนินการโดย อภ.ว่า ขณะนี้ อภ.ได้คัดเลือกวัคซีนจากทั้งหมด 4 สูตรเหลือเพียง 2 สูตรและอยู่ระหว่างการทดสอบความคงตัวของวัคซีน คาดว่าอีก 1-2 สัปดาห์จะแล้วเสร็จ จากนั้นจะส่งให้คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล ดำเนินการทดลองในมนุษย์กับอาสาสมัครต่อไป น่าจะเริ่มทดลองขั้นตอนนี้ได้ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ และส่วนตัวคิดว่าวัคซีนเชื้อเป็นน่าจะผลิตล็อตแรกได้ภายในเดือนมกราคม 2553
“ตามปกติเชื้อไวรัสจะอยู่ได้ดีในอุณหภูมิ -80 องศาเซลเซียส ซึ่งสถานพยาบาลไม่มีตู้เย็นที่จะสามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับนี้ได้ อภ.จึงต้องเติมสารบางอย่างลงไปเพื่อให้เชื้อไวรัสที่นำมาทำเป็นวัคซีนสามารถคงตัวอยู่ได้ในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส เพื่อให้สถานพยาบาลเก็บรักษาในตู้เย็นได้ ซึ่งจากสารที่เติมไป 4 สูตร อภ.ได้คัดเลือกแล้วเหลือ 2 สูตร และจะทำการวิจัยให้วัคซีนสามารถคงตัวอยู่ในอุณหภูมิ 25 และ 35 องศาเซลเซียสด้วย เผื่อเวลาขนส่งวัคซีนแล้วรถเสีย วัคซีนจะได้สามารถคงตัวอยู่ในอุณหภูมิความร้อนนี้ได้” นพ.วิทิตกล่าว